รีวิว คืนยุติ-ธรรม
“มานพ” (ก๊อต จิรายุ ตันตระกูล) ชายหนุ่มผู้มีอนาคตอันสดใสทั้งเรื่องการงานและความรัก และกำลังจะแต่งงานกับ “ดวงใจ” รีวิวหนัง คืนยุติ-ธรรม แต่อนาคตของเขากลับต้องพังทลาย เมื่อ ดวงใจ โดนเจ้านายที่ชื่อ “สิทธิชน” (กิ๊ก เกียรติ กิจเจริญ) ข่มขืน ทำให้มานพโกรธแค้นจึงไปทำร้ายสิทธิชนที่บริษัท นำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเมื่อสิทธิชนพลั้งมือยิงดวงใจตาย ส่วนมานพได้รับบาดเจ็บสาหัส และตื่นขึ้นมาพร้อมตกเป็นผู้เป็นต้องหาในคดีฆ่าภรรยาตัวเองจนเขาต้องติดคุก
กิ๊ก ที่ช่วยทำให้ฝั่งตัวร้ายดูน่าหมั่นไส้และน่าสนใจไปพร้อมกัน แม้ไม่มีแอร์ไทม์ในหนังมากนักก็ตาม
หลังจากออกจากคุกเขาได้พบกับ “กานดา” (ปูเป้ รามาวดี นาคฉัตรีย์) จิตแพทย์สาวที่อาสาเข้ามาเยียวยาอาการป่วยทางจิตใจของเขา แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปเธอกลับค้นพบ มานพ อีกคนที่เธอไม่รู้จัก ที่ลุกขึ้นมาตั้งตนเป็นศาลเตี้ยทวงความยุติธรรมแก่สังคมด้วยความรุนแรงในทุกค่ำคืน ยิ่งค่ำคืนล่วงเลยความรุนแรงก็ทวีความโหดเหี้ยมจนกลายเป็นการนองเลือด และนำไปสู่ความจริงปริศนาที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด
หลังจากหนัง นมัสเตอินเดีย ส่งเกรียนไปเรียนพุทธ เมื่อปี 2555 ในฐานะผู้สร้างหนังอินดี้ ผกก. กัณฑ์ปวิตร ภูวดลวิศิษฏ์ ก็ไม่ได้มีผลงานลงโรงหนังยาวมาอีก 8 ปี ก่อนจะกลับมาแบบพลิกแนวจากสายสว่างมาแนวนัวร์๋ดำเมี่ยมในหนังทวงหาความยุติธรรมแบบแอนตี้ฮีโรไทย ใน คืน-ยุติธรรม
สิ่งที่ต้องบอกหลังจากดูจบคือ หนังมีกลิ่นความเป็น พี่อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร ซึ่งมาเป็นโพรดิวเซอร์ของหนังอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะความเข้มข้นของดราม่าและธริลเลอร์ ยิ่งเรื่องการใช้โรคทางจิตมาเป็นปมขยายเรื่องให้มีหักไปหักมาอย่างมีนัยสำคัญก็ด้วย แต่กระนั้นภาพรวมของโพรดักชันก็ยังรู้สึกว่าหนังมีคุณภาพที่แกว่งไปมาระหว่างหนังมาตรฐานฉายโรง
และหนังโทรทัศน์ซึ่งอาจเป็นข้อด้อยของหนัง ที่บางส่วนพึ่งซีจีแล้วสร้างความสมจริงได้ไม่เนียนตานัก ฉากบางฉากดูเป็นเซ็ตประดิษฐ์ชัดเจน ในขณะที่บางฉากก็ทำได้ดีละเกือบดีมาก ๆ เพลงมีความเกินเบอร์ในฉากบางฉากอยู่เยอะ ราวกับจะช่วยสุดกำลังให้ซีนต่าง ๆ น่าสนใจอยู่ตลอดเรื่องเหมือนกลัวคนดูเบื่อ
และที่น่าจะปรับปรุงมากสุดก็น่าจะเป็นการตัดต่อช่วงแรกของหนังที่เห็นค่อนช้างชัดว่าเอามากลบเกลื่อนและโกงการเล่าเรื่องหลายชั้นให้คนดูเข้าใจได้ง่ายขึ้นแต่ต้น ทั้งการใช้ข้อความเล่าว่านี่เป็นการย้อนอดีตถึงเหตุการณ์ฆ่าหลายศพในคืนเดียวที่ถูกเรียกขานว่า คืนยุติ-ธรรม แล้วยังต้องเล่าชั้นต่าง ๆ ที่ตัดสลับไปพร้อมกัน ทั้งตัวเหตุการณ์คืนยุติ-ธรรม/ เหตุการณ์ที่ทำให้มานพติดคุก/ เรื่องราวก่อนหน้าที่หมอกานดามารักษามานพ/ เรื่องราวของหมอกานดาที่ให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนหลังคดีคืนยุติ-ธรรม
การสร้างเรื่องราวให้ทีมจิตแพทย์อย่างกานดาต้องติดตามพฤติกรรมในยามค่ำคืนของมานพ เป็นกลการเล่าเรื่องที่ใหม่ดี
คือหนังมีหลายชั้นและพยายามหลอกล่อคนดูให้ประหลาดใจกับข้อมูลที่ซ่อนไว้ จนทำให้การเล่าเรื่องที่ควรเคลียร์ ๆ อย่างน้อยแยกช่วงเวลาต่าง ๆ ให้ขาดกันด้วยภาพหรือเทคนิคทางภาพยนตร์ กลายเป็นเล่นท่ายากเกินจำเป็นและคนดูต้องปะติดปะต่อช่วยผู้สร้างหนังค่อนข้างพอสมควร แต่ทั้งนี้ก็หนัก ๆ เพียงช่วงแรกที่เรายังมึนกับวิธีเล่าของมัน พอจับทางเรื่องได้ตรงจุดนี้ก็จะไม่เป็นปัญหามากนัก
มาถึงสิ่งที่ต้องชื่นชมบ้าง ประการแรกคงเป็นความหาญกล้าในการนำเสนอเรื่องราวแนวดราม่าธริลเลอร์ โดยจับประเด็นเรื่องความอยุติธรรมต่าง ๆ ที่คุ้นหูคุ้นตาในข่าวต่าง ๆ มาประดิษฐ์ประสมใหม่ให้เข้มข้นน่าสนใจ ชวรรู้ชวนดูได้ สร้างพื้นที่ใหม่ ๆ ให้วงการหนังไทยได้แก้เลี่ยนบ้าง และต่อเนื่องมาให้ชื่นชมคือการเขียนบทที่ใส่ใจพยายามให้มีลูกเล่นมากกว่าตีหัวเข้าบ้าน ตรงนี้ขอชื่นชมในความพยายามใส่ใจในการเขียนบท ซึ่งหนังไทยยุคใหม่ ๆ เริ่มให้ความสนใจตรงนี้กันมากขึ้น หมดแล้วยุคที่เอาหน้าหนัง เอาดารานำแล้วบทหนังจะเป็นอย่างไรก็ได้ ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ดูถูกคนดู น่าจะตรงสุด (แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าบทมันดีเลิศนะ)
ส่วนที่ขอชมสุดลิ่มหัวใจต้องยกให้การสร้างตัวละครที่ดี และเหล่านักแสดงนำที่ตอบสนองกับการเป็นตัวละครได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ ก๊อตในบทบาทของมานพจัดว่าทำการบ้านเรื่องคนที่มีอาการทางจิตดีมาก ๆ ชอบสุด ๆ ในตอนที่เป็นมานพ ถึงจะดรอปเรื่องเทคนิคการแสดงลงมาบ้างเมื่อกลายเป็นอีกตัวละคร แต่โดยรวมน่าประทับใจมาก ๆ นอกจากนี้ดาราสมบทอื่น ๆ ทั้งหน้าใหม่ทั้งรุ่นเก๋าต่างก็นำเสนอตัวละครผ่านการแสดงได้น่าสนใจ และไม่ค่อยเห็นในหนังไทยมากนักด้วย มีความอินเตอร์มาก ๆ ในการสร้างบุคลิกตัวละครให้มีชีวิตจิตใจขึ้นมา
ถ้านับในอุตสาหกรรมหนังไทยด้วยกันเอง เรื่องแนว แอคชั่น(?) – ทิลเลอร์ ไม่ได้เห็นบ่อยนักนานๆทีจะเห็นแบบนี้ซักเรื่อง ในเทลเลอร์หนังทำได้ค่อนข้างน่าสนใจ น่าติดตามและด้วยดารานำอย่าง ก๊อต จิรายุ จากที่เคยติดตามเขามาประมาณนึงซึ่งเป็นคนที่มีpassionในการแสดงแบบจริงจังคนนึง ยิ่งทำให้ผมอยากดูขึ้นไปอีก เเละตั้งความหวังกับเรื่องนี้ไปประมาณนึงเลย
หลังจากดู เหมือนเราโดนตัวหนังหลอกอยู่บ้าง เพราะฉากบู๊มันมีน้อยกว่าที่คิด(แต่ไม่ได้ขนาดหลอกหัวทิ่มหัวตำ)
รีวิว คืนยุติ-ธรรม
พูดถึงในส่วนการดำเนิน
เรื่องที่เลือกใช้วิธีได้น่าสนใจมากคือการเลือกที่จะ”ไม่เล่าตามลำดับเวลา” โดยแบ่งเป็นสามช่วงหลักๆคือช่วงมาณพเจอหมอใหม่ๆ ช่วงคืนที่ศิวะออกล่าคนเลว และช่วงเวลาหลังคืนที่ศิวะออกล่า ผมนับถือในการที่ผกกพยายามทำอะไรที่แตกต่างไปจากที่หนังไทยเคยทำ ทั้งวิธีเล่า มุมกล้อง การทำออกมาเป็นแนวแอคชั่น-ทิลเลอร์ แต่มันยังไม่กลมกล่อมเท่าไหร่
ไม่ถึงกับดูแล้วงง แต่มียังไม่เห็นข้อดีของการเล่นท่ายากนอกจากความแปลกใหม่เลย เผลอๆเล่าแบบธรรมดาเราอาจจะอินกว่านี้ การกระทำของตัวละครอันนี้ดูไม่เมคเซนส์เลย ฉากที่รู้ว่าภรรยาโดนข่มขืนคนบ้าอะไรจะบุกไปบริษัทเขาโต้งๆแบบนั้น ประตูเปิดไม่ได้ พังกระจกแม่มเลย(ฮา)
จั่วเรื่องน่าสนใจ คนสองบุคลิก + ตามล้างแค้นให้ภรรยา + สู้กับความไม่เป็นธรรม(เข้ากับเหตุการ์ณบ้านเมืองสุดๆ) แต่เนื้อในกลับกลวง พูดว่าทวงความยุติธรรม ผมกลับรู้สึกว่ามันยังไม่เห็นภาพรวมขนาดนั้นว่าโลกนี้มันโหดร้าย เจ้าหน้าที่โกงกันหมด คือหนังมันก็มีเเสดงให้เห็นพอสมควรแต่ถ้าหนังขยี้ประเด็นนี้ให้เห็นภาพชัดกว่านี้จะดีมาก ความสมเหตุสมผล หนังพลาดมากหลายๆจุดเป็นปัญหาใหญ่ของเรื่อง แล้วเป็นจุดที่เห็นได้ชัด ทั้งขัดใจและฮาในเวลาเดียว ทั้งการกระทำของตัวละครที่อิหยังวะ นอกจากที่กล่าวไปด้านบนแล้ว ยังมีฉากที่บุกผับแล้วน้องผู้ช่วยเอามีดแทงตัวร้ายจวกๆ คือได้หรอ(ฮา)
บ้างก็สถานการ์ณเป็นใจ๊เป็นใจ พระเอกบุกกระทืบคนที่ขืนใจภรรยา แต่ไม่มียามซักคนในบริษัท(ว่าก็ว่าเถอะ ฉากนั้นไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเลย) จริงๆมีอีกหลายฉาก แต่เอาแค่นี้ละกันเดียวยาว(นี่ยังไม่ยาวอีกหรอ ฮา) ในเรื่องเล่นกับอดีตตัวละครค่อนข้างเยอะ ทั้งตัวพระเอกและตัวสมทบ แต่หนังก็เรื่องเล่าแบบ “ใช้ก่อน ค่อยเล่า” แถมเป็นการเล่าแบบผ่านๆ ไม่ได้มีการปูที่มากพอ
แม้จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่ช่วงต้นปี แต่เมื่อสถานการณ์โควิดไม่เอื้ออำนวยให้แฟนหนังชาวไทยเข้าโรงภาพยนตร์ในช่วงเวลานั้นทำให้ “คืน-ยุติธรรม” กลายเป็นหนังไทยที่หลายๆคนไม่มีโอกาสได้ชม แต่วันนี้หนังเรื่องนี้ได้ลงสตรีมมิ่งทาง Netflix แล้วเรียบร้อย
ความรู้สึกหลังดู
หากพิจารณาในเหตุการณ์ปัจจุบันเรื่องของกระบวนความยุติธรรม ความถูกต้อง ซื่อตรง และซื่อสัตย์ ความตรงไปตรงมา ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากด้วยความที่ว่าหนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความบันเทิงและด้วยเนื้อหาเป็นการเล่าเรื่องหรือทำให้เกิดความสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันโดยหนังจะเป็นการเล่าอย่าตรงไปตรงมามีความเสียดสี ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ความน่าตื่นเต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมการนำเสนอประเด็นความยุติธรรมถึงกลายเป็นเรื่องน่าสนใจและได้รับความนิยมมากจากคนดูในยุคปัจจุบัน ความยุติธรรมบนโลกนี้ยังมีอยู่ไหม และแม้ในบางฉากบางตอนของภาพยนตร์นั้นจะทำให้เราเกิดความสงสัย แต่ด้วยเรื่องราวของและความสามารถของนักแสดงนั้นก็ทำให้เรามองข้ามเรื่องพวกนั้นไปได้อย่างง่ายดาย
คืนยุติ-ธรรม เล่าเรื่องราวของมานพ (ก็อต-จิรายุ ตันตระกูล) ที่ถูกจับติดคุกในข้อหาสังหารภรรยาของตัวเองและทำร้ายสิทธิชน (กิ๊ก-เกียรติ กิจเจริญ) จนอาการสาหัส จนกระทั่งเมื่อเขาพ้นโทษและออกจากคุกมาได้พบกับกานดา (ปูเป้-รามาวดี นาคฉัตรีย์) จิตแพทย์ประจำตัวที่ช่วยเยียวยาอาการทางจิตของมานพ แต่เมื่อเริ่มดำเนินการรักษาไปได้ระยะหนึ่งเธอกลับพบว่า บางครั้งมีตัวตนของมานพอีกคนหนึ่งที่อุปนิสัยทำตัวเป็นศาลเตี้ยในการทวงความยุติธรรมในสังคมในยามค่ำคืนก็โผล่ขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เธอจึงวางแผนในการใช้กล้องบันทึกภาพเหตุการณ์ในยามที่มานพอีกคนหนึ่งตื่นขึ้นมา ก่อนที่จะนำไปสู่เหตุการณ์สุดพลิกผันภายในเวลาชั่วข้ามคืนเดียว
ลักษณะโทนหนังของ “คืน-ยุติธรรม” คือสไตล์เป็นทริลเลอร์ ฟิล์มนัวร์และผสมกับหนังแนวฟาวน์ฟุตเทจที่มีการเล่าเรื่องผ่านแนวกล้องวงจรปิด (หรือหลากหลายสไตล์ของมุมกล้อง) แต่เพื่อลดดีกรีความน่าเวียนหัวของเรื่องราว หนังจึงอาศัยการเล่าเรื่องแบบกล้องปกติร่วมไปด้วย อันที่จริงหนังยังดูมี “ของ” ที่อาศัยการตัดสลับเหตุการณ์อันหลากหลาย ทั้งการให้ปากคำของจิตแพทย์กานดากับตำรวจ ภาพเหตุการณ์ย้อนอดีต รวมถึงเหตุการณ์ของมานพ ซึ่งหนังก็ไม่ได้ตัดสลับเวลาซะจนคนดูปะติดปะต่อไม่ได้ (ซึ่งจริงๆหนังเรื่องนี้จะเพิ่มดีกรีความเจ๋งได้อีก ถ้าหนังเลือกจะเล่นท่ายากขึ้น)
อย่างไรก็ตามเมื่อคนดูติดตามเรื่องราวไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าเบื้องหลังการติดคุกของมานพนั้น เหล่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังแผนการใส่ความ “แพะ” ล้วนแล้วแต่ร่วมมือกันทำเป็นขบวนการ และยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมโดยปราศจากความรู้สึกผิด เพราะพวกเขาล้วนแล้วแต่มีเงินทอง ชื่อเสียงและหน้าตาในสังคม เครือข่ายคอนเน็กชั่นที่พวกเขามี ทำให้สิ่งที่ดำแปรผันเป็นขาว และระบบยุติธรรมก็ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อย่างที่คิด
การลุกขึ้นต่อสู้ของมานพจึงเป็นเหมือนการยอมลงทุนเทหมดหน้าตัก ในค่ำคืนยุติธรรมที่เขาตัดสินใจลุกขึ้นมาทวงคืนสิ่งที่ทรชนเหล่านี้ทำให้ชีวิตของเขาเหมือนตกนรกทั้งเป็นมาร่วมหลายปี แม้ปลายทางเขาอาจจะรู้ดีว่าจุดจบของเรื่องราวทั้งหมดนี้อาจจะไม่ได้สมหวัง แต่ท้ายที่สุดแล้วสังคมควรได้รับรู้ว่า คนผิดตัวจริงคือใครและเพราะเหตุใดกัน ความรุนแรงจึงเป็นทางออกสุดท้ายสำหรับคนอย่างมานพ เพราะแต้มต่อในชีวิตเขาไม่มีอะไรเลยที่จะเอาไปต่อกรกับคนเหล่านั้น เว้นเสียแต่การล้างแค้นแบบตาต่อตาฟันต่อฟันเท่านั้น!
คืนยุติธรรมภาพยนตร์ที่มีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องราวของเรื่องให้เห็นมิติด้านต่างๆ ของตัวละครการดำเนินเรื่องราวค่อนข้างจะจับทิศทางได้ยาก แต่ด้วยตอนต้นเรื่องมีการเกริ่นเนื้อหามากไปทำให้ช่วงต้นๆ เรื่องดูไม่ค่อยมีความน่าสนใจไม่ค่อยน่าติดตามสักเท่าไหร่ ความเข้มข้นของฉากแอคชันบางฉากเหมือนเป็นภาพสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นบนสังคมไทยในปัจจุบันได้เป็นอย่างดีในบางฉากดูเกินความสมจริงไปบ้างแต่ก็ต้องยอมรับความสามารถของนักแสดงว่าสามารถสื่ออารมณ์และเรื่องราวออกมาได้เป็นอย่างดี ทำให้หนังดูเข้มข้น ตึงเครียด น่าติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ
ช่วงกลางเรื่องทำให้เราสามารถมองข้ามความไม่สมจริงสมเหตุสมผลในบางอย่างของเรื่องไปได้มากเลยทีเดียว ข้อด้อยของหนังเรื่องนี้คงจะอยู่ที่การนำความโรคจิตมาเป็นปมในการขยายเรื่องราวให้มีการหักมุมของหนังไปมาทำให้คุณภาพของภาพยนตร์นั้นลดลง ซึ่งถือว่าเป็นจของภาพยนตร์เรื่องนี้สิ่งที่น่าชื่นชมอีกเรื่องคงเป็นการนำเอาประเด็นเรื่อความอยุติธรรมหลายๆ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในบ้านของเราหยิบยกเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาแก้เปลี่ยนให้เป็นบทละครให้ชวนน่าสนใจ ต้องชื่นชมคนเขียนบทที่ใส่ใจทุกเนื้อหาและเรื่องราวความพยายามที่ทำให้เรื่องราวของหนังนั้นมีลูกเล่นได้ดี
การตอบสนองของนักแสดงนำ การถ่ายทอดอารมณ์ออกมาให้คนดูได้อินและชวนติดตามนั้นถือว่าทำออกมาได้เป็นอย่างดี มีความเป็นอินเตอร์มากๆ สร้างบุคลิกของตัวละครให้มีชีวิตและจิตใจ สร้างบทที่ทำให้คนดูเห็นถึงความพยายามในการแสดงของตัวละครและการถ่ายทอดการแสดงที่มีรายละเอียดที่บางฉากนำเสนอออกมาได้แค่ ภาพยนตร์ในโทรทัศน์ การเล่าเรื่องที่มีความซับซ้อนเกินความจำเป็นทำให้ความน่าดูของภาพยนตร์ลดลงไปเยอะ เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนความไม่สมประกอบของสังคม และหากใครที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวนี้ก็ไม่ควรพลาด
ในส่วนนี้อาจจะขอติเยอะเพราะมันเป็นหนังไทย เรื่องแรกเลยคือการเดินเรื่องที่ไม่นับช่วงท้ายดูค่อนข้างน่าเบื่อ และช่องโหว่เยอะมาก แบบจู่ๆ พระเอกก็มีไอ้นั่นไอ้นี่แบบงง ๆ แถมหนังยังจบเร็วเกินไปทำให้เวลาเล่ามันน้อยมากก ผมคิดว่าถ้าเป็นหนังยาว 2 ชั่วโมง ผมเชื่อว่ามันจะอินกว่านี้มาก ต่อมาคือเรื่องตรรกะเรื่องนี้คือระดับพอ ๆ กับ vagabond แต่มั่วกว่านิดนึง ดูไปเรื่อยๆ ถึงกับอุทานพระเอกเอ็งเป็นใครกันแน่วะเนี่ย เพราะแทบไม่มีการอธิบายแผนการอะไรเลยในเรื่อง จู่ ๆ เราก็แค่ต้องตามพระเอกไปฆ่าคนแบบมึน ๆ ทำให้หนังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล ต่อมาเรื่องการแสดง ส่วนตัวไม่ค่อยชอบการแสดงของนางเอกเท่าไหร่ เพราะแสดงออกมาไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ เวลาดูแล้วรู้สึกว่า แสดงไม่ได้เข้าถึงตัวละครขนาดนั้น แถมตัวละครฝั่งตัวร้ายบทจางมากเหมือนมาเป็นกระสอบทรายเฉยๆ ไอ้ตัวบอสก็คือกระจอกมาก