รีวิว พญาโศกพิโยคค่ำ
สวัสดีจ้าวันนี้แอดจะมารีวิวหนังเรื่อง พญาโศกพิโยคค่ำ กลางกระแสทางการเมืองปี 2549 ที่กำลังคุกรุ่น พลอย และลูกของเธอ ใช้เวลาคืนสุดท้ายในเซฟเฮาส์กับ ปาล สามีซึ่งเป็นนักการเมือง ก่อนที่เขาจะเดินทางลี้ภัยตามคำสั่งคณะรัฐประหารไปยังชายแดนไทย-กัมพูชา เหตุการณ์เหมือนภาพฉายซ้ำช่วงปี 2516 ขณะที่พลอยในวัยเพียง 9 ปี
กำลังป่วยเข้าขั้นโคม่า ปราสาท ผู้เป็นพ่อหายตัวไปอย่างไร้วี่แวว ส่วน ไพลิน พญาโศกพิโยคค่ำ แม่ของเธอที่เพิ่งฟื้นตัวจากการรักษาอาการป่วยทางจิต กลับมาพบกับหมอประจำตระกูลอีกครั้ง เกิดเป็นรักในความลับที่ชวนเสน่หา เมื่อสุริยุปราคาเข้าคืบคลานจนสะกดให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ เรื่องราวก็กลับพลิกผัน
เงาสุริยุปราคานั้นได้กลืนกินหมอให้หายไป และคายปราสาทที่หายตัวไปให้กลับมา บาดแผลจากอดีต ก่อตัวขึ้นเป็นความมืดมิดภายในใจ ห้วงเวลาที่สุริยุปราคาพาทุกอย่างให้หยุดนิ่งไป ชะตากรรมและอนาคตของครอบครัวนี้ ถูกครอบงำไว้ด้วยความรุนแรงและความหวาดกลัว ไม่มีใครรู้ว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ เป็นศิลปินแนววิดีโออาร์ตของไทยที่มักพูดถึงประวัติศาสตร์การเมืองและสังคมผ่านงานของเขามาหลายปี และในหนังยาวเรื่องแรกของเขาอย่าง ‘พญาโศกพิโยคค่ำ (The Edge of Daybreak)’ ก็พูดถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในช่วงเวลาที่สำคัญอย่าง 14 ตุลา 2516 จนมาถึงช่วงเหตุรัฐประหารปี 2549
ซึ่งส่งผลทางอ้อมกับตัวละครหญิงสาวอย่าง พลอย ที่รับบทโดย แสตมป์ สุนิดา รัตนากร และ ไพลิน ที่รับบทโดย โดนัท มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล เมื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเข้ามาทำให้ผู้ชายหัวหน้าครอบครัวของทั้งคู่ต่างต้องพลัดพรากจากบ้านไป
โดยไทกิได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือชื่อ ‘สันติปรีดี’ ของ ชมัยภร แสงกระจ่าง ซึ่งรับเชิญมาแสดงในหนังเรื่องนี้ด้วย โดยในหนังสือนั้นมีตอนหนึ่งที่เขียนถึงครอบครัวของ ปรีดี พนมยงค์ ที่ถูกกลุ่มทหารซึ่งทำการปฏิวัติบุกมาที่บ้านกลางดึกเพื่อควบคุมตัว แต่ท่านตัดสินใจกระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยาว่ายหนีออกไป
ซึ่งจังหวะนั้นทหารได้ยิงปืนเข้ามาในบ้านเพื่อสะกัด ทว่าท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภรรยาของท่านก็ตะโกนออกไปว่า “หยุดยิง ที่นี่มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก” ฉากนี้ถูกนำมาเป็นไอเดียของฉากอาหารค่ำครั้งสุดท้ายในฉากเปิดเรื่องที่ดูแสนเศร้าและน่าหวาดกลัวไปพร้อมกัน เพื่อสะท้อนว่าการเมืองกระทบลงมายังหน่วยย่อยของสังคมอย่างครอบครัวได้อย่างโหดร้ายเช่นไร
ซึ่งหนังเองมีแรงบันดาลและแนวคิดการสร้างจากวัตถุดิบที่ชัดเจนและหลากหลายมากตามความสนใจของไทกิ จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรทำการบ้านมาก่อนประมาณหนึ่งว่าหนังพูดเรื่องอะไรและมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ เพื่อช่วยในการแกะสัญญะและลำดับความเข้าใจขึ้นใหม่ให้เข้าใจสิ่งที่หนังกำลังเล่า
เช่นว่าโดยภาพรวมหนังใช้แนวคิดเรื่องอาการอัมพาตเป็นธีมของหนัง ภาวะการหยุดนิ่งของร่างกายที่ไม่ต่างจากการถูกบังคับให้ไม่สามารถขยับไปไหนของการรัฐประหารและกระบวนการขัดความพัฒนาการทางการเมืองต่าง ๆ ถูกนำเสนอทั้งในแง่การแสดงของนักแสดงที่ไม่อาจสื่ออารมณ์ใด ๆ ออกมาได้มาก การเคลื่อนไหวที่น้อยและช้า
แต่ทั้งนี้ก็ยังมีภาวะอารมณ์ภายในที่ถูกบีบคั้นไว้สื่อผ่านทางสายตา ซึ่งยิ่งเรื่องดำเนินไปเราก็ยิ่งเห็นภาวะอัมพาตนี้แทรกซึมสู่จิตใจของตัวละครอย่างช้า ๆ ที่แม้แต่อันตรายหรือความตายมาเยือนก็ทำได้แต่นิ่งดูพวกเขาขืนใจและแล่เนื้อเถือหนังอย่างเลือดเย็น เป็นต้น
รีวิว พญาโศกพิโยคค่ำ
ต้องบอกว่าหนังอาจเหมือนดูยาก จากความจงใจเล่าแบบวิดีโออาร์ตที่ใช้ความต่อเนื่องทางแนวคิดมากกว่าการเล่าเรื่องแบบที่เราคุ้นชิน ลำดับเวลาถูกทำลายให้พร่าเลือนราวกับปี 2516 และ 2549 หรือแม้แต่ปัจุบันกับอดีตก็ผสมปนเปกันไปราวกับเป็นเหตุการณ์ในห้วงเวลาเดียวกัน ให้สังเกตได้ผ่านเพียงคำพูดของตัวละครที่มีเพียงน้อยนิดจนต้องใช้
สมาธิในการชมค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าหนังมีการจัดวางอย่างตั้งใจในทุกส่วนไม่ใช่การเล่าแบบตามแต่ใจผู้สร้างแต่อย่างใด เพียงแต่ผู้ชมกี่มากน้อยที่จะจับหนังมาแกะและเกลาจนเข้าใจได้เท่านั้น
งานภาพขาวดำของหนังจัดเป็นอีกตัวเอกของเรื่องก็ว่าได้ โดยผู้กำกับภาพหญิงอย่าง จ๊ะเอ๋ ชนานันต์ โชติรุ่งโรจน์ ที่เคยมีผลงานใน ‘Motel Mist โรงแรมต่างดาว’ (2559) ของผู้กำกับ ปราบดา หยุ่น และโกอินเตอร์ได้ร่วมงานกับผู้กำกับ เจมส์ แฟรงโก (James Franco) ใน ‘Don’t Come Back From the Moon’ (2017)
ก่อนจะไปคว้ารางวัลจากเวที Independent Spirit Awards ของอมริกาจากหนังเวียดนามเรีื่อง ‘The Third Wife’ (2019) ได้พิถีพิถันกับภาพในหนังอย่างมาก การใช้แสงและเงาที่ขับเน้นอารมณ์และความหมายในภาพทำได้อย่างวิจิตร เมื่อรวมกับความเข้มข้นของการคุมงานศิลป์ของหนังและการกำกับแล้ว
หนังจึงเปิดมิิติด้านภาพที่ชวนจดจ้องและชวนค้นหาได้อย่างแยบคาย และน่าสนใจว่าชนานันต์ช่วยถ่ายทอดความรู้สึกของผู้หญิงที่ถูกกระทำจากความเป็นชายในเรื่องได้อย่างน่าสนใจ
เช่นเดียวกับเสียงในหนังที่ผสานระหว่างเครื่องดนตรีและเสียงบรรยากาศ ที่สะท้อนความอึมครึม หยุดนิ่ง ทรมาน และน่าหวาดหวั่น ราวกับเล่นกับหัวใจผู้ชมและทดแทนคำพูดกับการแสดงที่ถูกกรอบจำกัดของตัวละครได้อย่างดี ก็ล้วนมาจากการออกแบบที่ไตร่ตรองมาอย่างละเอียดระหว่างไทกิและ โมรินากะ ยาสุฮิโระ (Morinaga Yasuhiro)
ผู้กำกับดนตรีคู่บุญของไทกิด้วยนั่นเองต้องยอมรับว่าหนังมีมนตร์สะกดบางอย่างให้เราต้องจดจ้องภาพและฟังเสียงตรงหน้าอยู่แทบทุกฉาก หากแต่ความซับซ้อนของการแสดงความหมายของหนังนั้นเป็นอุปสรรคใหญ่พอสมควร ใครที่ทำการบ้านมาน้อยหรือมีประสบการณ์ร่วมมาจำกัดย่อมได้รับเนื้อหาน้อยลงไปตามลำดับด้วย
ในขณะที่หากมองอีกมุมหากหนังลดความยึดติดกับแนวคิดที่คบคุมวิธีการนำเสนอลงได้ และประนีประนอมกับผู้ชมวงกว้างขึ้นอีกนิด หนังเรื่องนี้ก็มีศักยภาพเหลือล้นในการเป็นหนังสยองขวัญจิตวิทยาที่มีระหว่างบรรทัดเป็นการวิพากษ์ผลของการเมืองได้อย่างเข้มข้นและสะเทือนอารมณ์ไม่น้อยทีเดียว
เช่นเดียวกัน ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ คนทำงานศิลปะแนววิดีโออาร์ต ผู้สะท้อนความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย ผ่านผลงานที่ผลิตมาต่อเนื่องกว่าทศวรรษ โดยเฉพาะ ‘ภูเขาไฟพิโรธ’ A Ripe Volcano (2011) นิทรรศการวิดีโอและเสียงจัดวาง (installation art) ที่แม้จะเป็นบันทึกความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์รัฐประหารในปี พ.ศ. 2549
แต่ผ่านมาสิบปี งานชิ้นนี้ก็ยังคงถูกนำไปจัดแสดงในที่ต่างๆ ทั่วโลกคำถามและความรู้สึกเหล่านั้นของไทกิ ถูกส่งต่อเนื่องมาถึงหนังยาวเรื่องแรกของเขาอย่าง ‘พญาโศกพิโยคค่ำ’ The Edge of Daybreak ที่เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกในสายประกวดหลักของเทศกาลหนังนานาชาติร็อตเตอร์ดาม 2021 แล้วคว้ารางวัล FIPRESCI Award มาได้สำเร็จ
ความรู้สึกหลังดู
‘พญาโศกพิโยคค่ำ’ คือหนังขาว-ดำที่เล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์ ไล่เรียงมาตั้งแต่ 14 ตุลา 2516 จนมาถึงช่วงเหตุรัฐประหารปี 2549 ผ่านตัวละครหญิงสาว 3 รุ่น
กระนั้น นี่ไม่ใช่หนังการเมืองที่เล่ามันออกมาอย่างตรงไปตรงมา เพราะมันคือการร้อยเรียงบันทึกทางการเมืองจากหลากหลายแหล่งที่มา ที่ถูกเบลอทับไปด้วยบันทึกความรู้สึก
ส่วนตัว ที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายของสมาชิกหลายคนในครอบครัวของตัวไทกิเอง ที่ต่อเนื่องกินเวลายาวนานร่วมทศวรรษของเขา
ย้อนไปที่งาน installation art อย่าง ‘ภูเขาไฟพิโรธ’ ที่เผยแพร่มาตั้งแต่ 10 ปีก่อน และยังเป็นงานที่ได้รับความสนใจอยู่จนถึงปัจจุบัน อยากรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร
จริงๆ นัยสำคัญที่ยังทำให้ตัวงานชิ้นนี้ มันยังถูกมาจัดแสดงเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน คือมันยังเกี่ยวข้องกับสภาวะปัจจุบัน ทั้งๆ ที่มันผ่านมาสิบปี ปัญหาก็ยังยืดเยื้อเรื้อรัง ผมว่า ‘ภูเขาไฟพิโรธ’ มันพูดถึงปัญหาที่มันเกิดขึ้นภายใน..ภายในอารมณ์ สภาพจิตใจ ที่มันสะท้อนถึงสังคม สภาวะทางด้านการเมือง คือให้มองไปอีกสิบปีข้างหน้า งานชิ้นนี้ก็ยังเมคเซ้นต์อยู่ ปัญหาอย่างที่ทุกคนรู้ ว่าทางการเมืองมันไม่เสถียร
แต่ว่านั่นคือมุมมองของผมในฐานะคนทำนะ เพราะความรู้สึกของคนดูกับคนทำมันคนละแบบอยู่แล้ว คือผมดูมันมาไม่รู้กี่รอบ แต่ก็ยังดูได้อยู่นะ หรือแม้แต่ตอนที่ผมทำหนัง ‘พญาโศกพิโยคค่ำ’ เมื่อมองกลับไปที่ตัวงาน ‘ภูเขาไฟพิโรธ’ สิ่งที่เรายังรู้สึกกับงานชิ้นนี้อยู่คือเรื่อง “เสียง” เพราะนี่คืองานชิ้นแรกที่ผมทำกับ ยาสุฮิโร โมริทากะ (Yasuhiro Morinaga ซาวด์เอนจิเนีย และนักออกแบบเสียงชาวญี่ปุ่น เป็น Music Director หรือผู้ทำดนตรีประกอบให้ ‘พญาโศกพิโยคค่ำ’)
คือเสียงที่เขาทำให้งานชิ้นนี้มันพิเศษมาก คือสิบปีผ่านไปมันยังสดใหม่อยู่เลย ผมยังค้นหาจากมันได้ คือในฐานะคนทำผมก็รู้สึกมีความสุขที่ทำงานชิ้นนี้กับเขา แล้วก็ได้ร่วมงานกันยาวนานมาก สิบปีก็ยังทำงานด้วยกันอยู่ การเดินทางแล้วก็ได้เจอผู้ร่วมงานที่การมีมิตรภาพมันสำคัญกับผมมากๆ
ในหนัง ‘พญาโศกพิโยคค่ำ’ ทำไมถึงเลือกสำรวจสภาวะทางจิตใจ ที่มีต่อเหตุการณ์ทางการเมือง ผ่านช่วงเวลายาวนานตั้งแตในอดีต 14 ตุลา 16 จนมาถึงช่วงเหตุรัฐประหารปี 2549ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องบันทึกความรู้สึก บันทึกทัศนคติ พยายามถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมาด้วยสื่อภาพยนตร์หรือภาพเคลื่อนไหว
สำหรับผมมันเป็นสิ่งที่ต้องทำ
ที่นี่พอสเกลการทำงานมันใหญ่ขึ้นมาสำหรับผม แล้วก็จะได้ร่วมงานกับคนที่เก่งมากๆ หลายคน ที่เขาจะมาช่วยเนรมิตสิ่งที่เขียนออกมาได้ และด้วยความยาวของมัน วิธีการที่ผม approach งาน มันก็คล้ายกับงานแบ็คกราวด์ในการทำงานที่ผมเคยทำอย่าง “ธีม” ของงานชิ้นนี้ คือธีมสำหรับผมมันสำคัญมาก ยกตัวอย่าง ‘ภูเขาไฟพิโรธ’
ธีมของมันมาจากเพลงของ ริชชาร์ท วากเนอร์ (Richard Wagner) ที่ชื่อ “Tristan und Isolde” คือคอร์ดเริ่มต้นของโอเปร่าชิ้นนั้น ซึ่งภาษาทางดนตรีเขาเรียกคอร์ดชุดนั้น ว่า dissonant chord หรือมันไม่คลี่คลาย ก็คือมันอธิบายสถานการณ์ที่พระเอกกับนางเอก ก็คือตัว Tristan กับ Isolde ไม่สามารถลงรอยทางความสัมพันธ์ได้ สิ่งที่วากเนอร์ทำ
เขาเลยคิดโมทีฟอันนี้ที่เรียกว่า harmonic suspension คือท่วงทำนองมันถูกกดทับ มันจะค่อยๆ crescendo (ไต่ระดับ) ขึ้นไป แต่ทุกครั้งที่พอจะถึงไคลเม็กซ์ มันจะลดลงทุกครั้งเลย ซึ่งในงาน ‘ภูเขาไฟพิโรธ’ มันก็ถูกคิดขึ้นบนความรู้สึกโดยยึดธีม harmonic suspension จนกลายเป็นหัวใจของตัวเนื้องานที่ออกมา
จนมาถึงหนัง ‘พญาโศกพิโยคค่ำ’ ผมก็ยังนิสัยเดิม คือธีมของมันคือ paralysis หรืออัมพาต ในการตีความของผมตอนเขียนบท แน่นอนว่าสภาวะอัมพาต ถ้าเป็นทางร่างกายมันคือการถูกจองจำ ร่างที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ อย่างในหนังมันก็จะมีตัวละครที่มีสภาวะนี้อยู่ หรือแม้กระทั่งเสียงที่พยายามจะพูดออกมา แต่ไม่ว่าเปล่งออกมาเป็นเสียงไม่ได้
แล้วผมก็นึกถึงไปจนภาวะอัมพาตทางอารมณ์ ทางจิตใจ พอผมได้ธีมนี้ปุ๊บ มันก็สอดคล้องกับสิ่งที่ผมจะเล่าต่อมาผมก็มองไปถึงสิ่งที่ผมสนใจ คือผมสนใจในลักษณะของพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น landscape ทางกายภาพ หรือ landscape ภายในจิตใจ มันเป็นอะไรที่ผมต้องสำรวจ คือพอธีมเหล่านี้มา ผมก็รู้เลยว่ามันจะเล่าเรื่องราวของครอบครัวครอบครัวหนึ่ง
ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์บางอย่างที่มันสำคัญมาก อย่างเหตุการณ์สำคัญที่มันเห็นได้ชัดเจนที่สุดในหนัง มันก็คือพลังของธรรมชาติ ในที่นี่มันก็คือสุริยุปราคา แต่ด้วยความที่เรามาจากสายทดลอง เราก็คิดว่าสุริยุปราคาในความสนใจของเรา มันไม่ใช่สุริยุปราคาที่มันมองเห็นด้วยตา
แต่มันคือสุริยุปราคาที่เกิดขึ้นในใจ เป็นสภาวะทางอารมณ์ รู้สึกได้ มันก็เลยมีอำนาจบางอย่างที่มาควบคุมความเป็นอัมพาตของตัวละครในเรื่องด้วย