รีวิว วันสุดท้ายก่อนบายเธอ

รีวิว วันสุดท้ายก่อนบายเธอ

บอกก่อนเลยว่า ดีเกินคาดมากๆ งานภาพสวยจริงๆ ยอมรับเลย ไม่เสียชื่อหว่อง กาไว จริงๆ งานละเอียด และดูสากลกว่าหนังไทยทั่วไปมากๆ แต่ต้องบอกว่าเรื่องนี้งานภาพไม่ได้ออกมาสไตล์หว่องขนาดนั้น แต่ก็มีกลิ่นอายไม่น้อย รีวิวหนัง วันสุดท้ายก่อนบายเธอ One for the Road แต่ไม่เหมือนไปซะทั้งหมด

ซึ่งบอกเลยว่าไม่ได้มีดีแค่งานภาพที่สวยงาม แต่มันดีเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะบท ที่เขียนมาได้ดีมากๆ มีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย ทำให้ได้เห็นมิติของตัวละครทุกตัวได้อย่างชัดเจน และทำให้คนดูเข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้อย่างถ่องแท้ แถมทุกอย่างยังมีความหมายและสื่อถึงกันแบบหมดจด ทำให้รู้เลยว่า คนทำหนังเขาตั้งใจให้มันออกมาดีจริงๆ

ในส่วนของนักแสดงก็แสดงดีกันทุกคน โดยเฉพาะซีนดราม่า ทำกันได้ดีไม่มีข้อกังขา แต่ขอติเรื่องบทพูดบางฉาก ที่บทพูดมันแปลกๆ ดูไม่ธรรมชาติยังไงไม่รู้ แต่ก็แค่บางฉากแหละ ภาพรวมคือดีหมด นอกจากงานภาพที่ผมชอบมากๆแล้ว อีกอย่างที่ชอบคือเพลง เสียงประกอบฉากต่างๆ ทำออกมาได้โคตรดีมากๆ เลือกเพลง

และเสียงประกอบฉากและอารมณ์ต่างๆได้ดี เหมาะกับภาพและสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ไปอย่างลื่นไหล อีกอย่างคือการที่เอาเสียงของตัวละครพ่อที่เป็นดีเจคลื่นวิทยุมาใส่ประกอบเป็นเสียงพื้นหลังอยู่เป็นระยะๆ มันเป็นอะไรที่เท่ห์ และดีมากๆจริงๆ เพราะเสียงที่คลอนั้นมันซ่อนเรื่องราวและความรู้สึกของตัวละครหลักไว้ ทำให้หนังมันมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นมามากๆ

เว็บดูหนัง

โดยรวมแล้วถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆแล้ว ผมชอบพอสมควร แต่ก็ยังไม่ถึงกับชอบมาก แต่รับรองว่าไม่เสียดายค่าตั๋วแน่นอน 100% ความดีงามของเรื่องนี้มันอยู่ระดับที่เอาไปฉายให้ต่างชาติดูได้แบบไม่อายเลย ผมมองว่าหนังไทยควรเริ่มจากหนังดราม่าเนี่ยแหละ เพราะใช้ทุนไม่เยอะ แต่สามารถทำออกมาให้ดีในระดับสากลได้

ถ้าอยากเห็นหนังไทยดีขึ้น และสามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ ก็อยากให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนหนังไทยกัน แต่ไม่ได้บอกว่าให้ดูทุกเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้ควรดู เพราะมันดีจริง คนทำจะได้มีกำลังใจทำหนังดีๆออกมาให้เราได้ดูอีก

คนเก่าที่ติดอยู่ในใจใคร ๆ ก็มี รีวิว One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ ภาพยนตร์เรื่องเหล้าว่าด้วยแฟนเก่าส์ ความรัก มิตรภาพ และการเดินทาง ค็อกเทลแก้วใหญ่ที่ หว่องกาไว และ บาส นัฐวุฒิ ร่วมกันคิดสูตรขึ้นมา คุณไม่มีทางสัมผัสได้ว่ามันสวยงามยังไง จนกว่าจะได้เข้าไปลิ้มรสชาติด้วยตัวคุณเอง

อู๊ด (ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) ติดต่อหา บอส (ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร) เพื่อบอกว่าเขากำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง และต้องการให้บอสซึ่งเป็นเพื่อนของเขาช่วยอะไรบางอย่าง บอส ซึ่งเปิดบาร์อยู่ที่นิวยอร์กจึงเดินทางกลับมาประเทศไทยตามคำขอของเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนาน

อู๊ดต้องการบอกลาและนำของไปคืนแฟนเก่าเติม s แต่ละคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตและเลิกรากันไป คือ อลิซ (พลอย หอวัง) หนูนา (ออกแบบ ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) และ รุ้ง (นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) โดยให้บอสเป็นสารถีขับรถเก๋งคันเก่าแต่ยังเก๋า ไปส่งอู๊ดทำตามความตั้งใจครั้งสุดท้ายในชีวิต

อู๊ดได้ตั้งคำถามถึงแฟนเก่าคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของบอส ซึ่งก็คือ พริม (วี วิโอเลต วอเทียร์) คำถามนี้ได้เขย่าเรื่องราว รวมถึงความทรงจำเก่า ๆ มากมายที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของบอสและพริม ให้หวนกลับมาพูดถึงอีกครั้ง ส่วนบทสรุปของการเดินทางครั้งนี้จะเป็นยังไง ต้องไปติดตามกันต่อเองในโรงภาพยนตร์ค่ะ

เรื่องราวในอดีต ตัวตนของเราที่เปลี่ยนไป และแฟนเก่า ล้วนเป็น “ความเก่า” ที่ผ่านไปแล้ว และหลายคนคงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่ควรรื้อฟื้น ไม่ได้อยากเคาะสนิมมันขึ้นมาอีกครั้ง หรืออาจตั้งคำถามเหมือนบอสอีกด้วยว่า “มึงกลับไปทำไม” แต่แน่นอนแหละว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง อู๊ดก็เหมือนกัน และเหตุผลของอู๊ดก็เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของเรื่องราวนี้

คำว่า แฟนเก่า ดูจะเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ แต่ One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ เป็นภาพยนตร์คนเหงาที่มีอะไรมากกว่านั้นเยอะ(มาก) ด้วยชื่อของผู้กำกับหว่องกาไว ในบทบาทผู้อำนวยการสร้าง และที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือ หัวเรือสำคัญอีกหนึ่งคน บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ซึ่งเขาเคยฝากฝีมือที่น่าประทับใจไว้ในภาพยนตร์เรื่อง ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius) มาแล้วด้วยค่ะ

นอกจากนี้คุณบาส ยังเป็นผู้กำกับชาวไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล World Dramatic Special Jury Award จาก Sundance Film Festival 2021 เทศกาลภาพยนตร์นอกกระแสอีกด้วย รับรองเลยว่าหลังจากได้ดูจบแล้ว เรื่องราวทั้งหมดจะเดินทางเข้าไปอยู่ในใจคุณได้ไม่ยาก เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนค็อกเทล ที่มีบาร์เทนเดอร์ชื่อ หว่องกาไว และ บาส ช่วยปรับรสชาติให้ดื่มได้ทุกคน

แฟนหนังหว่องที่เคยมีภาพในหัวว่า ถ้าทำหนังไทยแบบหว่อง ๆ มันจะออกมาเป็นยังไง คำตอบนั้นก็คือ One for the Road เรื่องนี้แหละ ความเฉียบในการกำกับของคุณบาส ทำออกมาได้ชัดเจนพอ ๆ กับลายเซ็นความเหงาของหว่องกาไว การันตีด้วยรางวัลด้าน Creative Vision ทั้งจังหวะเล่าเรื่องและการตัดต่อ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นค็อกเทลรสเข้มข้น ที่เมื่อได้สัมผัสแต่ละคนจะรู้สึกต่างกันออกไป แล้วแต่ประสบการณ์ในชีวิตที่เจอมา

รีวิว วันสุดท้ายก่อนบายเธอ

นอกจากหนังจะพูดถึงความรัก มันยังพูดถึงชีวิตอีกด้วย ซึ่งเรื่องราวนี้ทำให้อาจจะมีสักจุดหนึ่งในหนังที่กระตุกความรู้สึกบางอย่างในใจคุณ และกระตุกต่อมน้ำตาได้ไม่ยากเลย
ความดีงามอีกเรื่องที่อยากพูดถึงก็คือ เพลง “Nobody Knows” และเพลง “ถ้าเธอ” ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ ถ้าใครไม่เคยฟัง อยากแนะนำให้ไปลองฟังดูสักครั้ง เพลงเพราะและ

ติดอยู่ในใจสุด ๆ ชนิดที่ว่าฟังแล้วต้องนึกถึงหรือแอบใส่ใครสักคนไว้ในเพลงแน่นอน
เราไม่อยากให้คะแนนหนังเรื่องนี้ออกมาเป็นตัวเลข เพราะเกณฑ์เรื่องคุณภาพ การแสดง องค์ประกอบต่าง ๆ

ในหนังมันอาจจะไม่ได้หยุดแค่เต็มสิบ เพราะเราสามารถพูดได้เต็มปากว่ารสชาติมันเข้มข้นมากพอ ที่จะทำให้เราอยากแนะนำและบอกต่อให้คนอื่น ๆ ได้ไปดูด้วยตัวเอง
เมื่อดูจบแล้ว ถ้าไม่คลายปมก็อาจจะขมวดปมความรู้สึกในใจบางอย่างขึ้นมา เพราะเหตุการณ์ในเรื่องมันช่าง Nobody Knows เราไม่มีทางรู้ว่าถ้าทำลงไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ขณะเดียวกันถ้าเราไม่ทำ มันก็อาจจะติดค้างในใจเราไปตลอดก็ได้

เหมือนหนังกำลังสะกิดบอกให้เราเลือกใช้ชีวิตแบบที่จะไม่รู้สึกผิดกับตัวเองดีกว่า เพราะสุดท้ายแล้วเราทุกคนต่างก็แวะมาที่โลกใบนี้แค่ไม่นาน นี่คือรสชาติค็อกเทลแก้วนี้ที่เราสัมผัสได้ แล้วถ้าอยากรู้ว่ารสชาติของคุณจะเป็นแบบไหนก็ไปชมกันได้ เข้าฉายแล้วทุกโรงภาพยนตร์ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป

อาจจะรู้สึกแปลกสักนิดแต่จะขอทิ้งท้ายไว้ว่า ก่อนเข้าไปชมภาพยนตร์อยากให้คุณลืมทุกอย่างที่รีวิวนี้เขียนไว้ แล้วทำใจให้โล่ง ๆ ปล่อยใจไปกับชีวิตที่ดำเนินไปของแต่ละตัวละคร เหมือนคุณเป็นแก้วเปล่าใบหนึ่ง รอให้ One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ รินเรื่องราวเข้ามา และเมื่อจบเรื่องมันจะปริ่มขอบแก้วแบบพอดี

รับรองว่าถ้าคุณทำตามคำแนะนำนี้ คุณจะพบเจอชิ้นส่วนสักเสี้ยวในภาพยนตร์ที่ทำให้คุณรู้สึกไปกับพวกเขาอย่างจัง และอย่างน้อยพอถึงวันต้องเดินทางไปจากโลกใบนี้ คุณอาจจะได้คำตอบว่าตัวเองต้องการ one for the road แก้วสุดท้ายแบบไหนก็ได้นะ

ดูหนัง

รีวิว วันสุดท้ายก่อนบายเธอ

ความรู้สึกหลังดู

หากใครได้เห็นโปสเตอร์หรือดูเทรลเลอร์มาบ้าง คงพอมองออกว่า One for the Road เป็นหนังสไตล์ ‘Road Movie’ ซึ่งจะเป็นการพาตัวละครไปยังสถานที่ต่าง ๆ พร้อมพาคนดูดำดิ่งเข้าไปในความสัมพันธ์อันซับซ้อน ฉะนั้นแล้วหนังเรื่องนี้จึงมีบรรยากาศที่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ของบาส นัฐวุฒิ มากพอสมควร ในขณะที่หนัง

เรื่องก่อนจะเน้นสไตล์ทริลเลอร์ที่อัดความลุ้นระทึกจนแทบไม่ทันหายใจ แต่ในเรื่องนี้กลับเป็นบรรยากาศสบาย ๆ ที่ค่อย ๆ ใช้อารมณ์ภายในขับเคลื่อนตัวมู้ดของหนังออกมาแทน

ขณะที่หนังพาเราสำรวจเส้นทางที่อู๊ดและบอสได้ได้เดินทางผ่าน หนังก็ค่อย ๆ สอดแทรกแฟลชแบ็กกับหยอดปมไว้ตลอดทาง พร้อมย้อนความว่าพวกเขาเป็นใคร อะไรที่นำพาให้พวกคู่หูนี้ให้ต้องมาเจอกัน แต่ทว่าหนังก็ใช้ความเป็นโร้ดมูวี่ได้ไม่คุ้มนัก เพราะแต่ละโลเกชันที่พวกเขาไป มันกลับไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรไปมากกว่าการเป็นแค่จุดเช็กพอยต์ที่พาอู๊ดไปเจอกับแฟนเก่าแต่ละคนก็เท่านั้น

ถึงแม้ว่าหนังจะไม้ได้สลับซับซ้อนทางการนำเสนอ แต่ก็ทดแทนด้วยบทที่ซับซ้อนเข้ามาแทน จากปมปัญหาที่หนังแอบหยอดไว้ในแต่ละเส้นทางก็ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นระเบิดเวลา และทำให้ซีนไคลแม็กซ์นั้นปะทุออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แม้ว่าหนังจะรีดอารมณ์คนดูออกมาได้ถูกจังหวะ แต่น่าเสียดายปมใหญ่ของหนังที่ถูกชูไว้ กลับไม่ถูกให้น้ำหนักเท่าที่ควร และทำให้คนดูรู้สึก ‘หลงทาง’ ในบางครั้ง

เว็บหนัง

รีวิว วันสุดท้ายก่อนบายเธอ

อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยพยุงหนังไว้คือทัพนักแสดงที่คอยแบกเรื่อง ไล่ตั้งแต่นักแสดงหลักอย่าง ต่อและไอซ์ซึที่เคมีเข้ากันอย่างลื่นไหล ในแต่ละบทสนทนาของทั้งคู่แฝงไว้ด้วยความยียวนกวนทีนและเป็นห่วงกันตลอด จนเรารู้สึกได้เลยว่า นี่แหละความเป็นเพื่อนที่ไม่ประดิดปะดอย โดยเฉพาะไอซ์ซึ ที่ต้องขอชมมาก เพราะเขาใช้วิธีการแสดงแบบ Method

Acting ในการดำดิ่งเข้าสู่ความเป็นอู๊ด ซึ่งไอซ์ซึต้องลดน้ำหนักถึง 17 กิโลกรัมและศึกษาพฤติกรรมของผู้ป่วยลูคีเมียระยะสุดท้ายไปพร้อมกันด้านนักแสดงสมทบนั้นก็เล่นดีไม่แพ้กัน ไล่ตั้งแต่บรรดาแฟนเก่าของอู๊ดที่รับบทโดย พลอย หอวัง, ออกแบบ ชุติมณฑน์, นุ่น ศิรพันธ์

ที่ทยอยมาสร้างสีสันกันเป็นระยะ แต่น่าเสียดายที่หนังให้มิติพวกเธอเป็นแค่คนที่ผิดหวังจากอู๊ดและโผล่มาเพื่อด่ากับให้อภัยเท่านั้น
แม้กระทั่งตัวละครอย่าง พริม (แสดงโดย วี วิโอเลต) ที่เป็นแฟนเก่าของบอส ซึ่งได้มิติและแอร์ไทม์มากกว่าแฟนเก่าคนอื่น ๆ ก็มีหน้าที่เพียงแค่ช่วยขับตัวตนจริง ๆ

ของอู๊ดกับบอสออกมา และที่อดพูดถึงไม่ได้เลยก็คือบท พ่อของอู๊ด (ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) ที่แม้จะโผล่มาแค่เสียงและซีนสั้นๆ แต่ก็ทำหน้าที่ในการนำพาอู๊ดกับบอสให้ทำภารกิจไปจนสุดทาง

รีวิว วันสุดท้ายก่อนบายเธอ

‘One for the Road’ พยายามอย่างมากที่จะพาเราไปสำรวจในทุกแง่มุมของความสัมพันธ์ ตั้งแต่คนแปลกหน้า เพื่อน คนรัก ไปจนถึงครอบครัว ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ช่วยดึงอารมณ์ให้คนดูมีจุดร่วมกับหนังไปได้อย่างดี

ด้านงานภาพที่กำกับโดย พาเกล้า จิระอังกูรกุล นั้นก็เป็นหนึ่งข้อดีของเรื่องนี้ รับรู้เลยว่าในแต่ละซีนค่อนข้างพิถีพิถันในการจัดวางเฟรม และการที่ได้หว่องกาไวมาช่วยดูภาพรวมของหนัง ก็ทำให้บรรยากาศ ‘สไตล์หว่อง’ ตลบอบอวลอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เมื่อผสมกับจังหวะการตัดต่อสไตล์มอนทาจอย่างรวดเร็วด้วยแล้ว

ก็ทำให้จังหวะของหนังถูกนำเสนอออกมาได้อย่างพอดี เป็นตรงกลางที่สมดุลและไม่น่าเบื่อจนเกินไป

รีวิวหนังไทย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *