รีวิว ฮักเถิดเทิง

รีวิว ฮักเถิดเทิง

สวัสดีจ้าวันนี้แอดจะมารีวิวหนังเรื่อง รีวิว ฮักเถิดเทิง จริง ๆ ถ้าถามความรู้สึกแรกของผมต่อหนังเรื่องนี้ สิ่งที่ผมว่าน่าสนใจมาก ๆ ไม่ใช่แค่การรวมนักร้องลูกทุ่ง หมอลำ ลูกทุ่งภาคใต้ และดาราศิลปินไว้มากมาย (รวมทั้งมี Cameo มาแจมคับคั่ง) หรือเป็นหนังที่มาจากจักรวาลหนังลูกทุ่งต่อจาก ‘ฮักแพง’ (2561) และ ‘ออนซอนเด’ (2562) จากฝีมือการกำกับของ “ธีรเดช สพันอยู่” เพียงเท่านั้นนะครับ เพราะอีกสิ่งที่ผมว่าก็น่าสนใจไม่แพ้กัน คือหน้าหนังและตัวอย่างหนังที่โปรยเพื่อจะสื่อว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องราวของซุปตาร์อีสานที่กำลังจะตกอับเพราะมีนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปอีสานมาเบียดแย่งชิงความนิยมไป นักร้องหนุ่มทั้ง 3 เลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้

จริง ๆ ด้วย Theme แบบนี้ เรื่องแบบนี้ มันอาจจะไม่ใช่พล็อตสดใหม่นักหรอก แต่ถ้าพล็อตแข็งแรงและสมประกอบพอ ก็สามารถดิ้นได้พลิ้ว ๆ เลยนะครับ จะให้มีบทสรุปออกมาเป็นแบบไหนก็ได้

รวมถึงทั้งตัวของก้อง แซ็ก และเบิ้ลเองก็มีประสบการณ์จากการเล่นภาพยนตร์ในจักรวาลเดียวกันนี้อย่าง ‘ฮักแพง’ (2561) และ ‘ออนซอนเด’ (2562) มาแล้ว

รวมทั้งหนังเรื่องนี้ ยังมีดาราตลกและ Cameo ที่คุ้นหน้าคุ้นตาในหนังไทย และในออนไลน์มาร่วมกันแบบคับคั่ง ก็เลยทำให้ผมรู้สึกว่าพอจะมีหวังกับหนังเล็ก ๆ เรื่องนี้ได้บ้างล่ะน่า แต่เอาจริง ๆ แล้วเมื่อได้ดูหนัง ก็ดูเหมือนว่าจะต้องถอดความหวังออกเยอะหน่อย

เว็บดูหนัง

เพราะจุดสังเกตแรกของหนังเรื่องนี้ที่เป็นประเด็นหลักก็คือ ความไม่แข็งแรงและไม่สมประกอบของพล็อตครับ จริง ๆ ผมคิดว่าพล็อตหนังเรื่องนี้ สามารถพัฒนากลายเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องของซุปตาร์ตกอับ มิตรภาพความเป็นเพื่อนที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย แล้วค่อย ๆ ลากเส้นไปจบที่พล็อตทวิสต์ว้าว ๆ ที่ว่าด้วยเรื่องของกลโกงในค่ายเพลงได้เลยนะครับ แต่ทว่า ตัวหนังที่เปิดด้วยการประกวดวงดนตรียอดนิยม ดันโพล่งเรื่องการโกงโหวตเพื่อให้ตัวเองชนะออกมาตั้งแต่แรก ด้วยวิธีการนิ่ม ๆ ง่าย ๆ กันแบบนั้นเลย (วิธีไหนขอไม่สปอยล์ละกันนะครับ)

แม้ตัวหน้าหนังจะโปรโมตไปว่า นี่คือเรื่องราวของการกู้ชื่อกู้เสียงของซุปตาร์อีสานที่โดนเกิร์ลกรุ๊ปแย่งความนิยม แต่ดูเหมือนว่าพล็อตกลับไม่วิ่งแวะไปทางนั้นเลย ตัวหนังกลับ “เถลไถล” กันตั้งแต่ตอนนั้น เหมือนไม่มีอะไรจะให้เล่าแล้ว ก็เลยเถลไถล แวะเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปมาก่อนหนังจบก็แล้วกัน แถมตัวเส้นเรื่องรองในเรื่องของความรัก ก็ยังพาเถลไถลไปไกลห่างจากเส้นเรื่องหลักอีก ทำให้พล็อตที่ดูน่าจะแข็งแรงก็เลยไม่แข็งแรง การกระทำของตัวละครในหลาย ๆ ซีนก็งง ๆ ไม่สมเหตุสมผล ทำให้พล็อตหนังโดยรวมดูไม่สมประกอบหนักข้อขึ้นไปอีก

รวมถึงการกระจายตัวละครแบบไม่มีทิศทาง ซึ่งตัวหนังเองไม่ยอมปูให้เห็นว่า ระหว่างแก๊งซุปดาร์อีสาน “ก้อง ห้วยไร่-แซ็ค ชุมแพ-เบิ้ล ปทุมราช” กับแก๊งเกิร์ลกรุ๊ปอีสานที่นำโดย “ลำไย ไหทองคำ และพรรคพวก” นั้นเป็นคู่แข่งกันอย่างไร ทั้งสองฝ่ายมาเจอกันได้ยังไง แล้วมาตกหลุมรักกันได้ยังไง หรือความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน หนังก็แทบไม่ได้เล่าอะไรเท่าไหร่

ที่สำคัญคือ ในระหว่างทางที่กำลังเถลไถลอยู่นั้น หนังยังจับตัวละครของทั้งสองกลุ่มแยกไปคนละทิศละทางจนงงว่า “เอ๊า นี่ตกลงเขาไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรือไงเนี่ย?” อีกต่างหาก จนทำให้ตัวละครบางตัวแทบไม่มีบทบาท และกลืนหายกลายไปเป็นตัวประกอบไปเฉย ๆ (คือคงไม่ถึงขั้นแค่เป็นตัวประกอบเดินผ่าน แต่ก็ไม่ถึงขั้น Cameo แน่นอน) หรือบางซีนและบางตัวละครที่ใส่มา ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเส้นเรื่องหนังเท่าไหร่ ชนิดที่ว่าต่อให้ตัดออกไป ก็ไม่น่าจะกระทบกระเทือนตัวหนัง เพราะมีแค่บางตัวละครและบางซีนเท่านั้นที่ยังพอจะพาหนังเดินไปได้ (แบบทุลักทุเล)

และที่สำคัญคือ ถ้าหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นคือมีดาราและ Cameo ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาในหนังไทยและในออนไลน์มาร่วมแสดงกันอย่างคับคั่ง และหวังว่าต้องฮาแน่ ๆ ก็อาจต้องผิดหวังนิดหน่อย เพราะหลาย ๆ คนที่มาแล้วก็ไม่ได้ช่วยตัวหนังเท่าไหร่ รวมถึงตัวบทและมุกตลกที่เล่นก็ดูไม่สมเหตุสมผลอีก ผลที่ออกมาก็คือ ตัวละครที่เราหวังว่าจะได้ฮาแน่ ๆ อย่างสายสิน วงษ์คำเหลา, อาภาพร นครสวรรค์, อี๊ด โปงลางสะออน, น้าค่อม ชวนชื่น, โรเบิร์ต สายควัน, โจอี้ กาน่า, น้าสมเล็ก ศักดิกุล, แม่โซเฟีย ลา, พี่สายเชีย หรือ เขาทราย-เขาค้อ แกแล็กซี่ (และเซอร์ไพรซ์อีกหลายคน) กลับไม่มีใครที่โดดเด่นเป็น MVP ในหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ กลายเป็นเพียงการรับเชิญเล่นบทตลกแข็ง ๆ และการทำอะไรงง ๆ ที่ดูแล้วก็แอบเสียดายฝีมือแทนพี่ ๆ เขาอยู่มากทีเดียว

อีกสิ่งที่ผมอยากจะพูดในหนังเรื่องนี้คือ ถ้าจุดเด่นของ “ไทบ้าน x BNK48 จากใจผู้สาวคนนี้” (2563) คือการมี “เจ๊ก้อง” (ก้อง ห้วยไร่) ที่ดันกลายเป็นตัวละครที่แบกหนังทั้งเรื่อง (ร่วมกับ “ด้งเด้ง” จาลอด ไทบ้านเดอะซีรีส์) จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ก็คือการมีก้อง ห้วยไร่นี่แหละครับ ณ ขณะที่ผมดูหนังเรื่องนี้ ผมกลับคิดถึงหนังเรื่องนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ แต่ที่ต่างออกไปคือ ตัวหนังไทบ้านเองมีพล็อตที่ค่อนข้างเปิดให้ “เจ๊ก้อง” ได้แรดอย่างเต็มที่ การเล่นมุกนอกสคริปต์ จริตความปากไวและกวนเบื้องล่าง กลายมาเป็นสไตล์ถนัดของ ก้อง ห้วยไร่ ไปซะแล้วล่ะครับ แต่ที่น่าเสียดายสำหรับหนังเรื่องนี้คือ

รีวิว ฮักเถิดเทิง

แม้สไตล์ของก้องเองจะแบกหนังให้ยังพอมีความน่าสนใจอยู่บ้าง และในการดิ้นของก้องหลายมุกก็สนุกใช้ได้ เพียงแต่ว่าลูกคู่ของเขาอาจไม่ใช่หนุ่มอีสานจอมกวนจังหวะรับแบบจาลอด และพล็อตก็ไม่ได้อนุญาตให้พี่ก้องได้ดิ้นได้พลิ้ว ๆ ขนาดนั้น ผลที่ออกมาก็คือ บางมุกก็พอใช้ได้ แต่บางมุกก็น่าเสียดายพี่ก้องแทนจริง ๆ

แน่นอนว่าหลายคนอาจรู้สึกว่าอยากดูหนังเรื่องนี้เพราะว่ามีเพลงเพราะ ๆ จากศิลปินลูกทุ่งหมอลำในยุคนี้ให้ฟังเพียบ ซึ่งถ้าจะหวังเรื่องนี้ ก็คงพอได้อยู่ล่ะครับ เพียงแต่ต้องรอนานหน่อย หรือถ้าจะหวังว่าจะได้เข้าไปดูมุกตลกจากนักแสดงและ Cameo ทั่วฟ้าเมืองไทยมารวมกัน (หรือดูความแรดของพี่ก้อง ห้วยไร่) ก็คงพอได้อยู่นิดหน่อย

(อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่รสนิยมความฮาของแต่ละคนล่ะนะครับ) แต่ถ้าหวังว่าจะได้ดูหนังที่มีพล็อตเรื่องสนุกสนาน หนักแน่น ตัวละครดูน่าเอาใจช่วย และอยากได้ความสมเหตุสมผล อันนี้แหละครับที่ผมคิดว่า ควรเผื่อใจไว้ให้หนักหน่อยก่อนดู เพราะว่ามันช่างเป็นอะไรที่ “เถลไถลเถิดเทิง” เสียจริง ๆ ครับ

ดูหนัง

รีวิว ฮักเถิดเทิง

ความรู้สึกหลังดู

1. ฮักเถิดเทิง

หนังเพลง เน้นฟังเพลง และโปรโมทศิลปิน มุขตลกกระจัดกระจายแต่ไม่ค่อยเข้าเป้าเท่าไหร่ ก็ดูได้เพลิน ๆ เนื้อหาให้เป็นเรื่องที่เนื้อหาอ่อนสุดในบรรดาทั้ง 4 เรื่อง แถมจังหวะการเล่าเรื่องสะดุดไปมา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่ไหลลื่น และไม่มีช่วงพีคเลย ส่วนดีของหนังคือ เพลงดี ศิลปินแสดงดี ให้สอบผ่าน แต่การกำกับไม่ดี ต้องปรับปรุง ที่พินาศที่สุดคือการมิกซ์เสียง เสียงดนตรีกลบเสียงร้อง ลิปซิงค์ไม่ตรงปาก เป็นตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ผิดหวังตรงนี้ที่สุด

2. มนต์รักดอกผักบุ้ง

เรื่องนี้เหมือนเป็นการปรับปรุงข้อเสียจากเรื่องแรก ทั้งการมิกซ์เสียง จังหวะการเล่าเรื่อง แล้วยังได้รุ่นใหญ่อย่างเอกชัยศรีวิชัยมาเดินมุขตลกให้ทั้งเรื่องอีก เลยรู้สึกดูสนุกกว่า แต่หนังไม่เน้นไปซักทาง จะเน้นวัฒนธรรมดนตรี ดราม่าพ่อลูก หรือปมบิณบรรลือฤทธิ์ หรือนักร้อง หรือความรักอะไรต่าง ๆ แตะทุกทาง แต่ไม่เน้นให้สุดซักทาง เดินทางสายกลาง

ก็เลยได้ความรู้สึกแบบกลาง ๆ มีช่วงพีคที่พยายามตรึงอารมณ์อยู่บ้าง แต่แบคกราวด์ที่มาของเรื่องมีน้อย เรียกว่ายังเล่าได้ไม่ถึง พอถึงฉากพีคก็เลยไม่สุดเท่าไหร่ ถ้าให้ปรับปรุงอาจตัดเส้นเรื่องที่ไม่เกี่ยวบางส่วนออก หรือเขียนโยงให้เป็นเรื่องเดียวกันเน้น ๆ ไปเลยดีกว่า ฉากที่ตลกสุดส่วนตัวชอบฉากอาภาพร ขำแบบไม่ทันตั้งตัวว่าจะมาเล่นมุข

เว็บหนัง

รีวิว ฮักเถิดเทิง

3. พจมานสว่างคาตา

ไม่รู้ว่าออกโรงไปหมดหรือยัง เรื่องนี้นักแสดงแก๊งค์หอแต๋วแตกยังแสดงได้ตลกดีเหมือนเดิม แต่ที่น่าเบื่อสุดคือ 70% ของหนังที่พยายามเน้นตัวนางเอกแพนเค้กสู้กับแก๊งค์ชะนี เพื่อพยายามเอาตัวชายกลางแน็คชาลีมาครอบครองเป็นสามีให้ได้ ต้นเรื่องที่ยังไม่มีแพนเค้กก็ปูเรื่องน่าสนใจดี แต่พอ 70% ที่ว่า คือทำให้น่าเบื่อมาก เมื่อไหร่จะจบ

แต่ว่าตอนท้าย ๆ หนังทำให้ดูน่าสนใจอีกครั้งตอนที่เปิดเผยความจริงแต่สุดท้ายผกก.พจน์อานนท์ก็โยนบททิ้งลงโถ่ส้วมอีกครั้ง แล้วบรรเลงฉากจบแบบ เออ เอาสนุกเฉย ๆ ใช่มะ แถมพยายามมีสาระแบบ “ทุกอย่างปลอมได้ แต่ความรู้สึกมันไม่สามารถปลอมได้” อีก อีหยังวะ

อาจจะเหมาะกับคนชอบดูหนังลึกลับ แบบคาดเดาอะไรไม่ถูก แต่ฉาก 70% ของเรื่อง และฉากไคลแม็กซ์ที่บอก ส่วนตัวคิดว่ามันทำลายหนังซะจนไม่มีชิ้นดีเลย

4. รักนะ ซุปซุป

เรื่องนี้สอบตกเรื่องความตลก แทนที่จะช่วยให้ไหลลื่นกลับสะดุดทุกครั้งที่มีฉากตลก นักแสดงคู่พระ-นางแสดงได้ไร้มิติมาก โดยเฉพาะนางเอก แต่เชฟกับผู้ช่วยเชฟผู้หญิงแสดงได้ดี ช่วยแบกหนังไว้ได้ อาจเป็นที่บทด้วย บทพระเอกมีน้อย ส่วนมากเป็นบทแบบบังเอิญเดินไปเจอนั่นนี่ นางเอกก็พอกัน แต่ว่าเชฟเด่น

รีวิว ฮักเถิดเทิง

จุดดีของเรื่องนี้คือ ภาพสวย มีความโรแมนติกพอใช้ได้ พอจินตนาการได้

การปูประเด็นต่าง ๆ น่าสนใจ น่าติดตาม แต่ตอนคลี่คลายปมนี่สิ กลับมีเพียงบางส่วน จะตรงข้ามกับดอกผักบุ้งที่เล่าน้อยไม่โฟกัสแต่พยายามคลายปมเยอะ อันนี้เล่าเยอะน่าสนใจแต่คลายปมน้อย จริง ๆ ก็คลายปมดีแหละ แต่มันไม่ครบ อารมณ์แบบว่า อ้าว ตกลงแก้ปัญหากันแบบนี้หรอกหรือ แล้วที่เล่า ๆ มา เพื่อ? ประมาณนี้ แต่ก็ขอชมว่าดูจบก็ให้ข้อคิดดี ดูเอาแนวคิดดี ๆ ก็ได้อยู่

รีวิวหนังไทย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *