รีวิว แหยม ยโสธร 3
จากความสำเร็จของหนังแหยม ยโสธร ทั้งภาค 1 และ 2 จึงไม่แปลกที่เราจะได้ชมภาค 3 ของ หนังที่กำกับโดย หม่ำ จ๊กม๊ก ดาวตลกที่โด่งดังที่สุดในไทยหนังแหยม ยโสธร ถือว่าเป็นหนังที่ถ่ายทอดความเป็นชนบททางภาคอีสานของไทย โดยใช้สีสันอันฉูดฉาดที่บ่งบอกถึงความมี ชีวิตชีวาของชุมชนและท้องทุ่ง และเมื่อยิ่งเข้าภาคที่ 3 ก็ดูเหมือนว่าความมีสีสันจะมากเกินจนหนังแหยม ยโสธร 3 กลายเป็น หนังสีลูกกวาด จนกลบความเป็นหนังแห่งท้องทุ่งไป หนังไทยเก่าน่าดู
หนังแหยม ยโสธร 3 เล่าเรื่องราวบักแหยม (หม่ำจ๊กม๊ก) และเจ้ย (เจเน็ต เขียว) ที่มีความหลังเมื่อครั้งอดีตกับ กำนันปอย (เฉิน เชิญยิ้ม) และ รำพึง (เอ็นดู วงษ์คำเหลา) ทำให้เป็นศัตรูกันมานมนาน แต่กับลูกๆ ของพวกเขา คฑาเทพ (ลิขิต บุตรพรม) กับ คำผาน (เพทาย วงษ์คำเหลา) ลูกของแหยม และ รำพัน (อิงฟ้า เกตุคำ) กับ รำเพย (รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น) ลูกของกำนันปอย กลับตกหลุมรักกัน รักที่เป็นไม่ได้เพราะฝ่ายพ่อแม่ต่างไม่ชอบหน้ากัน สุดท้ายจะลงเอยอย่างไร…
เนื้อเรื่องในภาคนี้ให้อารมณ์แบบ โรมิโอ กับ จูเลียต ตำนานรักคลาสสิคระดับโลก ที่ถูกถ่ายทอดแบบบ้านนาบ้านทุ่งในแหยม ยโสธร
ซึ่งก็ยังคงตามสูตรของหนังแหยมที่ภาค ที่ถ่ายทอดเรื่องราวด้วยภาษาอีสานทั้งเรื่อง ใครไม่ถนัดก็สามารถพึ่งพาอ่านซับที่อยู่ ด้านล่างได้เช่นเดิม
หนังให้เวลาไปที่ดาราหน้าใหม่ที่เป็นพระนางของเรื่อง ขายความหล่อสวยและความน่ารักของการแอบชอบและการจีบ ซึ่งนัก แสดงหน้าใหม่ทั้งหมด ลิขิต บุตรพรม, เพทาย วงษ์คำเหลา, อิงฟ้า เกตุคำ และ รัตติยาภรณ์ ภักดีล้นต่างก็ทำหน้าที่ได้ดี กับ การแสดงออกของความรักที่น่ารักสมวัย ดูหนัง
รีวิว แหยม ยโสธร 3
รีวิว แหยม ยโสธร 3 หนังเสียเวลาไปมากกับการถ่ายทอดเรื่องราวของความรักหนุ่มสาว กว่าจะเฉลยเหตุและผลของการที่บักแหยม และกำนันปอย กีดกันความรักนี้ ก็เสียเวลาไปกว่าครึ่งเรื่อง จนทำให้เวลาในการคลี่คลายปัญหาต่างๆ ดูรีบเร่งและง่ายดายเกินไปในส่วนของเพลงประกอบที่ใช้ในเรื่อง ทั้งร้องทั้งเต้น สามารถตอบโจทย์เรื่องราวในหนังได้ดี และทำออกได้อย่างสนุกสนาน ดูหนังใหม่
ความเป็นหนังตลกของเรื่องก็ยังมีอยู่ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะชื่นชอบมุขต่างๆ ที่ใส่อยู่ในเรื่องมากแค่ไหน ทั้งเรื่องของคำ หยาบคายแบบบ้านๆ และมุขตลกช่วงล่าง หรือแม้กระทั่งการนำเพศที่สามมาล้อเลียน ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าเป็นมุขที่ค่อนข้างเลอะเทอะและไม่ได้ขำขันอะไรมากมาย
แต่กับมุขตลกเหตุการณ์ที่ใส่เข้ามาอย่าง การแข่งขันร้องเพลง หรือ ตัวละครที่เข้ามาเป็นคู่แข่งจีบ รำพัน รำเพย และ การไม่ แสดงความถูกชะตากันระหว่างบักแหยมและกำนันปอย จะเป็นอะไรที่ดูสนุกและสร้างสรรค์มากกว่าอย่างไรก็ตาม ใครที่เป็นแฟนของหนัง แหยม ยโสธร หรือแฟนหนังหม่ำ จ๊กม๊ก ก็ไม่ควรพลาด แหยม ยโสธร 3 อยู่ดี กับหนัง ภาคต่อที่เป็นการขยายมุมลึกของตัวละครให้มากขึ้น แต่สำหรับคนที่ไม่เคยดูก็คงไม่ใช่หนังที่น่าเสียดายหากจะปล่อยผ่านไป แหยม ยโสธร 3 สปอย
การดำเนินเรื่อง
จากรุ่นพ่อมาสู่รุ่นลูกใน “แหยม ยโสธร 3” หนังฮาเว้าอีสานภาคต่อของผู้กำกับตลกร้อยล้าน “หม่ำ จ๊กม๊ก” ที่ทั้งกำกับและนำแสดงเอง ร่วมเสริมทัพความฮาด้วย เจเน็ต เขียว, เพทาย วงษ์คำเหลา, รีวิวหนัง แหยม ยโสธร 3 ลิขิต บุตรพรม, เอ็นดู วงษ์คำเหลา, อิงฟ้า เกตุคำ, รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น และ เฉิน เชิญยิ้ม ดูหนังฟรี
เวลาแห่งความสุขก็ได้ล่วงเลยผ่านฝน ผ่านหนาว ผ่านร้อนมาอีกหลายฤดู “บักแหยม” (หม่ำ จ๊กมก) ผู้มีรักจริงกับ “เจ้ย” (เจเน็ต เขียว) สาวผู้รักมั่นคงมิเคยเสื่อมคลาย ลูกๆ ก็โตจนเรียนจบหรือไม่ก็ออกเรือนกันไปหมด เหลือแค่เพียง “คำผาน” (เพทาย วงษ์คำเหลา) ที่ยังเรียนไม่จบ ซ้ำชั้น ม.ศ.5 มาสามปี สร้างความระทึกใจให้กับกำนันแหยมและเจ้ยเรื่อยมา..
จนกระทั่ง “คฑาเทพ” (ลิขิต บุตรพรม) ลูกชายอีกคนของกำนันแหยมกำลังจะเรียนจบกฎหมาย กลับมาเยี่ยมบ้านช่วงปิดเทอม ในระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้นคฑาเทพก็ได้พบกับ “รำพัน” (อิงฟ้า เกตุคำ) หญิงสาวที่เดินทางกลับมาพร้อมกันโดยบังเอิญ และทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ความรักของทั้งคู่คงจะผลิบานอย่างที่ควรจะเป็น
หากแต่ว่า…รำพันดันเป็นลูกสาวคนโตของ “กำนันปอย” (เฉิน เชิญยิ้ม) เพื่อนรักเพื่อนแค้นในอดีตที่ไปแย่งแฟนเก่าของแหยมมา นั่นคือ “รำพึง” (เอ็นดู วงษ์คำเหลา) ซึ่งยังมี “รำเพย” (รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น) ลูกสาวอีกคนที่เป็นถึงดาวประจำโรงเรียนที่คำผานดันตกหลุมรักเข้าให้อีก แล้วมีหรือที่คำผานจะพลาดการชิงชัยรักนี้
โอ้ละหนอ…ความรักของรุ่นลูกที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายกีดกันไม่เห็นด้วย มันจะลงเอยแบบไหนกันล่ะเนี่ย? ดูหนังออนไลน์ แถมยังมีเรื่องราวความรักสุดแสบหักเหลี่ยมเฉือนคมรักซ้อนซ่อนเงื่อนของรุ่นพ่อแม่ให้ต้องติดตามกันต่ออีก ได้อลวนครื้นเครงอลเวงม่วนฮักจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกกันแบบยกกำลังสามล่ะคราวนี้ แหยม ยโสธร 3 เนื้อเรื่อง
พล็อตเรื่อง
เป็นหนังอีกเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจไปดู แต่โดนคนใกล้ตัวบังคับให้ไปดูด้วย เพราะถ้าโดยส่วนตัวแล้วดูไปแค่ภาคแรกแล้วก็หยุดไม่ได้ตามต่อภาค 2 เนื่องจากไม่ค่อยถูกจริตกับหนังที่กำกับโดยนักแสดงตลกสักเท่าไร!! และกับภาคนี้นั้นหนังก็มาในแบบหนังฮารูปแบบเดิมๆที่เน้นขายมุกตลกเว้าอีสาน มุกตลกคำหยาบ และมุกตลกเจ็บตัวเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งบางมุกมันก็ฮาได้อยู่ แต่กับบางมุกนั้นมันก็ดูมากเกินไป(โดยเฉพาะมุกตลกเจ็บตัวตีหัวคนแทนกลอง) จนพาลทำให้ดูน่าอึดอัดมากกว่าที่จะตลกอย่างที่ควรเป็น แถมดูไปดูมานี่มันหนังแบบอุตสาหกรรมครัวเรือนวงษ์คำเหลาชัดๆ เพราะมีครบหมดตั้งแต่พ่อ แม่ น้า อา ลูกชาย ยันลูกสาว!! ดูหนังไทย
นอกจากจะเน้นขายความฮาแล้ว “แหยม ยโสธร 3” ก็ยังเต็มไปด้วยฉากลิปซิงค์ร้องเพลงอีกต่างหาก คือถ้ามาแบบนิดๆหน่อยๆไม่เกินครึ่งเพลงก็พอจะรับไหว แต่นี่เล่นมาแบบจัดหนักจัดเต็มแทบทุกเพลง แถมทั้งเรื่องก็ปาเข้าไป 3-4 เพลง จากที่พอครึกครื้นสนุกสานก็เลยทำให้กลับกลายเป็นความน่าเบื่อแทน เหมือนกับว่าผู้กำกับหมดมุขเล่าจนไม่รู้จะเอาอะไรมาใส่ให้กับเนื้อเรื่องเลยมักง่ายยัดเพลงมาใส่ยืดเวลาหนังเอาซะงั้น!! แหยม ยโสธร 3 นักแสดง
รีวิว แหยม ยโสธร 3 บทสรุป
ส่วนด้านการแสดงนั้นคนอื่นๆที่ไม่ใช่คนในครอบครัววงษ์คำเหลาก็ทำได้ดีอย่างที่ควรเป็น ไม่มีอะไรโดดเด่นให้พูดถึง เพราะทั้งเรื่องถูกจัดฉากขายความเป็นครอบครัววงษ์คำเหลามากกว่าใครทั้งนั้น ที่เด่นสุดในภาคนี้ก็คงเป็น “เพทาย” ลูกชายกับ “เอ็นดู” ศรีภรรยา โดยเฉพาะฝ่ายหลังนั้นแทบจะดันกันออกนอกหน้านอกตาเลยทีเดียว
กับด้านเนื้อเรื่องนั้นก็มาตามสูตรหนังรักถูกขัดขวางที่มาแบบสูตรสำเร็จเป๊ะๆ ไม่มีอะไรเกินคาดเดา ส่วนเรื่องความสมเหตุสมผลนั้นบางทีก็อย่าได้ไปถามหา เพราะหนังมัวแต่จะขายความฮาอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีอยู่หนึ่งอย่างที่ผมถือว่าเป็นเอกลักษณ์และชอบมากเป็นพิเศษก็คือ เรื่องสีสันในหนังที่ถ่ายทำออกมาได้สดใสสดชื่นดูแล้วสบายตาเพลินใจดีจริงๆ
หากใครอยากดูหนังไทยตลกเบาสมองสุดๆ ก็ต้องเรื่องนี้เลย “แหยมยโสธร 3” กับภาพยนตร์ตลกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน กับความฮาสนั่น เว่าอีสานสนุก คอสตูมสีแสบสัน แหยม ยโสธร 3 บทสรุป
เขย่าลูกคอสุดไพเราะ ท่ามกลางบรรยากาศลูกทุ่งสุดชิล นำแสดงโดย หม่ำ จ๊กม๊ก, เจเน็ต เขียว, แวววาว วงษ์คำเหลา, อนุวัติ ทาระพันธุ์ ,เพทาย วงษ์คำเหลา, บิ๊กเอ็ม-กฤตฤทธิ์ บุตรพรม, ฟ้า-อิงฟ้า เกตุคำ, เฉิน เชิญยิ้ม, เอ็นดู วงษ์คำเหลา และนักแสดงอีกมากมาย ห้ามพลาดความสนุก 21 มกราคมนี้ ทางทรูโฟร์ยู ช่อง 24
เรื่องราวความฮาป่วน เริ่มต้นที่ “คฑาเทพ” (บิ๊กเอ็ม-กฤตฤทธิ์ บุตรพรม) ลูกชายอีกคนของกำนันแหยมกำลังจะเรียนจบกฎหมาย กลับมาเยี่ยมบ้านช่วงปิดเทอม ในระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้นคฑาเทพก็ได้พบกับ “รำพัน” (อิงฟ้า เกตุคำ) หญิงสาวที่เดินทางกลับมาพร้อมกันโดยบังเอิญ และทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น
ความรักของทั้งคู่คงจะผลิบานอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่ว่า รำพันดันเป็นลูกสาวคนโตของ “กำนันปอย” (เฉิน เชิญยิ้ม) เพื่อนรักเพื่อนแค้นในอดีตที่ไปแย่งแฟนเก่าของแหยมมา นั่นคือ “รำพึง” (เอ็นดู วงษ์คำเหลา) ซึ่งยังมี “รำเพย” (รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น) ลูกสาวอีกคนที่เป็นถึงดาวประจำโรงเรียนที่คำผานดันตกหลุมรักเข้าให้อีก แล้วมีหรือที่คำผานจะพลาดการชิงชัยรักนี้
โดยรวมหนัง
แต่สิ่งที่เราสนใจที่สุดในหนังคือกรุงเทพ ในแหยมหนึ่ง การไปกรุงเทพของเจ้ยและคุณนางเอก หรุงเพททำหน้าที่เป็นสิ่งชั่วร้ายที่พรากคนรักไป (แต่หนังก็ตีมือด้วยการให้อีเจ้ยไปสวยจากบางกอกกลับมาอยุ่บ้าน) ในแหยม1มันล้อหนังยุคมิตร เพชรา แต่พอมาแหยมสองกรุงเทพเดินทางมาเป็นปลัดอำเภอที่กวนตีนจนน่าถีบ
ความสัมพันธ์ของแหลมกับกรุงเทพจึงยั่วล้อขนบของหนังลูกทุ่งอยู่ไม่น้อย และยิ่งภาคสาม หนังล้อหนังยุคถัดมา ว่ากันตามจริงก็น่าจะช่วงยุค70’s ปลายๆ ในคราวนี้ หนังไม่ได้จบด้วยฉาก อีเจ้ยกลับจากกรุงเทพเมือ่ชั่วร้ายอีกแล้ว กรุงเทพกลายเป็นเมืองความหวัง ที่แหยมมาส่งลุกเข้าบางกอกไปเรียหนังสือ
สถานะของบ้านนอกกับกรุงเทพที่พลิกไปพลิกมา ทั้งทำลายและสร้างหวังเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ถึงที่สุดมันน่าสนใจว่าความสัมพันธ์ของกรุงเทพกับชนบทเป็นอย่างไร ในสายตาของคนเมืองเราอาจผ่าแบ่งกรุงเทพกับชนบทออกจากกันในภาวะดำขาว เมืองชั่ว บ้านนอกดี แต่ในสายตาการมองกลับมันไม่ได้เป้นอย่างนั้นเพราะมันเต็มไปด้วยการปรับประสานต่อรอง การเลือกเข้าเอาออก การอยากเป็นอย่างนั้นและการปฏิเสธจะเป็นอย่างนั้น แหยม ยโสธร 3 สนุกไหม
การกดขี่และการเอาคืน ในพื้นที่ของหนังตลก และจำเพาะเจาะจงต่อพื้นที่หนังตลกนี่เองที่พื้นที่ของการบ่อนเซาะความหมายดั้งเดิมจะถูกทำให้เห็นเด่นชัดโดยผ่านมุกตลกที่พูดถึงควาไมม่เข้ากัน ความเข้ากันไม่ได้ของคนสองส่วน มันจึงน่าสนใจมากว่า หนังตลกเป็นพื้นที่ No Man’s Land ของการอธิบายความสัมพันธ์แบบนี้
แน่นอนว่านี่พูดไปพุดมาดูเหมือนแหยมจะเป็นหนังอีกเรื่องไป เราขอยืนยันว่ามันเป็นหนังตลกขายความเป็นอีสาน ขายมุกต่ำอย่างที่เข้าใจกันนั่นแหละ แต่ในโลกของความไ่ตั้งใจสิ่งที่หนังเผลอพูดออกมามันช่างน่าสนใจจนไม่อาจปล่อยผ่านได้เลยทีเดียว รีวิวหนังไทย