รีวิว ไสหัวไป นายส่วนเกิน

รีวิว ไสหัวไป นายส่วนเกิน

สวัสดีจ้าวันนี้แอดจะมารีวิวหนังเรื่อง รีวิว ไสหัวไป นายส่วนเกิน น ได้เวลามาพิสูจน์หนังดราม่าเคล้ารอยยิ้มกับคอนเซ็ปต์ที่เชิญชวนผู้ชมมา “ฮีลลิ่ง” ด้วยการชมหนังเรื่องนี้ ที่น่าจะเป็นผลงานหนังเรื่องแรกของค่ายหนังน้องใหม่ เบนเล่ย์ ฟิล์ม อย่าง “ไสหัวไปนายส่วนเกิน” (Go Away Mr. Tumor)

หนังที่เป็นการจับคู่เคมีนักแสดงนำ “มิน พีชญา” กับ “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม” ออกมาได้น่าสนใจ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้น…ยังเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวอย่างที่นึกไว้หรือไม่ รีวิวหนัง ไสหัวไป นายส่วนเกิน และจะช่วยเยียวยาหัวใจผู้ชมได้จริงๆ หรือเปล่า? ไสหัวไปนายส่วนเกิน เป็นเรื่องราวของ ผักกาด กราฟฟิคดีไซเนอร์สาวกับเรื่องราวพังๆ

ที่ดันแห่มาพร้อมกันในวันเกิดเบญจเพสของเธอ ทั้งต้องออกจากงานเพราะงัดกับหัวหน้า ตามมาติดๆ กับอาการอกหักเมื่อรู้ว่าแฟนหนุ่มนอกใจ และที่พีคสุดคือรู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญกับโรคร้ายที่คาดไม่ถึง

เว็บดูหนัง

แต่ท่ามกลางเรื่องพังๆ ที่กำลังถาโถม ผักกาดกลับได้ค้นพบความรักดีๆ ที่อยู่รายรอบตัวเธอ ทั้งได้ใกล้ชิดกับหมอหนุ่มยิ้มยากที่เธอแอบปิ๊งอย่าง หมอกวินทร์ และกำลังใจจากครอบครัวและแก๊งเพื่อนซี้ที่พร้อมจะหัวเราะและร้องไห้อยู่เคียงข้างเธอเสมอ และเพราะความรักที่เธอได้รับ ผักกาดพร้อมแล้วที่จะไม่ยอมแพ้ พอกันทีกับความเศร้า

ขอลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆ เพื่อส่งต่อพลังบวกให้กับคนอื่นด้วยเช่นกัน หนังที่มีลายเส้นออกมาค่อนข้างเห็นได้อยู่บ้างว่าเป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับนายทุนจากเมืองจีนแน่ๆ เพราะโครงเรื่องหลักของหนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเค้าโครงเรื่องจริงของนักวาดการ์ตูนสาวชาวจีน “ฉงตุ้น” ที่พบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็ง

แต่เลือกที่จะใช้มุมมองแตกต่างและรอยยิ้มในการสู้กับความมืดมิด กลายเป็นหนึ่งเรื่องราวที่เคยสร้างแรงบันดาลใจทั่วแผ่นดินใหญ่มาแล้วและอีกหนึ่งองค์ประกอบที่เด่นชัดกับกลิ่นอายความเป็นสไตล์หนังจากจีน ก็ตรงที่ความพยายามยัดใส่เทคนิคพิเศษและฉากซีจีต่างๆ เข้ามาแบบเกินจำเป็นเพราะความอยากจะใส่และโชว์ศักยภาพว่างาน

สร้างซีจีของฉันพัฒนาไปขนาดนี้แล้วนะ ซึ่งดูเป็นการจำอวดมากกว่า เนื่องจากหนังเรื่องนี้แทบจะไม่จำเป็นต้องใช้ภาคเทคนิคพิเศษใดๆ มาช่วยเลยก็น่าจะได้อยู่ แต่ก็ต้องชื่นชมตามเนื้อผ้าว่า…ซีจีของเขาก็ทำออกมาได้ดีใช้ได้ไสหัวไปนายส่วนเกิน เป็นหนังที่ประเด็นที่ชัดเจนเป็นอย่างดี หนังรู้ตัวเองดีว่ากำลังเล่าเรื่องราวอะไรอยู่

มีการหยิบยกเอาภาวะอาการป่วยโรคร้ายของตัวละครหลักมาเป็นจุดหลักในการดำเนินเรื่องไปได้ตลอดทาง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีจุดเด่นอยู่แค่เพียงเท่านั้น และเมื่อนำมาผนวกกับองค์ประกอบต่างๆ เข้าด้วยกันแล้ว คนดูอยากจะไสหัวไป…มีความคิดอยากจะเดินออกจากโรงหนังพอสมควร

รีวิว ไสหัวไป นายส่วนเกิน

หนังยังเต็มไปด้วยจุดด้อยอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นด้อยหนักๆ

คือบทภาพยนตร์ อีกทั้งยังพบปัญหาในการดำเนินเรื่องด้วยการใช้ตัวละคร จังหวะการเดินเรื่องเป็นละครหลังข่าวไปนิด ซ้ำยังไม่สามารถขับคาแรกเตอร์ต่างๆ ออกมาทำให้คนดูรู้สึกคล้อยตามได้อย่างเท่าที่ควร

สิ่งที่ขัดใจในหนัง ไสหัวไปนายส่วนเกิน แบบโดดเด่นเลยก็คือจำพวกไดอะล็อกบทสนทนาของตัวละครต่างๆ ทีทำออกมาได้ประดิษฐ์ประดอยเกินเหตุ ผลลัพธ์ออกมาเป็นเหมือนดูละครซ้ำซาก ประโยคพูดถึงของตัวละครยังไม่ค่อยมีความเป็นธรรมชาติเท่าที่ควรนัก เป็นภาษาที่คนทั่วๆ ไปได้พูดคุยกันแบบนี้แน่ๆ นี่จึงเป็นองค์ประกอบที่ทำให้รู้สึกขัดหูไปตลอดทั้งเรื่อง

ในขณะที่ปัญหาในการถ่ายทอดคาแรกเตอร์ต่างๆ ก็ยังไม่ชัดเจน มิน พีชญา ก็เกือบจะแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ไม่ได้ ภาพลักษณ์ของเธอยังคงติดภาพเป็นนางเอกละครทีวีไปตลอดทาง การแสดงที่ดูยังไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าไหร่ เมื่อมาเล่นหนังใหญ่ คราบความเป็นนางเอกละครหลังข่าวยังติดมาเต็ม จะมีแต่ก็เพียง อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม เท่านั้นที่รอดไปจากจุดนี้ได้ แต่กระนั้นบทบาทของเขาก็ช่างธรรมดาและถ่ายทอดออกมาได้จืดเลยเกิน

ทางด้านนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ที่หนังโยนใส่เข้ามา ก็แทบจะไม่ได้เป็นที่จดจำอะไรเลย เพราะหนังลืมที่จะใส่ใจและใส่รายละเอียดของพวกเขาไปสักหน่อย ไม่เพียงเท่านั้น ไสหัวไปนายส่วนเกิน ก็ยังมีบรรดานักแสดงรับเชิญยอดฝีมือโผล่มาประปราย ที่แน่นอนว่าแต่ละฉากที่พวกเขาโผล่มาช่างทรงพลังจริงๆ แต่ก็เกิดคำถามขึ้นตามมาว่า…เอาพวกเขามาทำไม เพราะช่างดูเป็นตัวละครส่วนเกินของหนังไปเลย

ในองค์ประกอบด้าน Segment ของหนังก็ยังติดขัดอยู่หลายๆ จุด โดยเฉพาะความพยายามยัดเยียดใส่ฉากจินตนาการ(เพ้อเจ้อ)ของนางเอกใส่เข้ามาเรื่อยๆ ที่กลายเป็นจุดที่ตัดโทนอารมณ์คนดูไปอย่างน่าเสียดายในบางครั้ง ดำเนินเรื่องไปกำลังได้สวยๆ ก็ตัดโยนเข้ามาสู่โลกซอมบี้เพ้อๆ ที่นางเอกสร้างขึ้นมา ที่ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่รู้จะใส่เข้ามาทำไม ดูไม่จำเป็นและไม่เข้าพวกเสียด้วยซ้ำ

ไสหัวไปนายส่วนเกิน กลายเป็นหนังที่ช่างจืดชืด พยายามบิวต์อารมณ์คนดูด้วยการเอาประเด็นอาการป่วยโรคร้ายมาเป็นตัวหลัก พยายามที่จะขยี้อารมณ์และเค้นน้ำตา ที่แน่นอนว่าอาจจะเข้าถึงกับผู้ชมบางส่วน แต่เหมือนมามองดูภาพรวมกับองค์ประกอบแสนยุ่งเหยิงของหนังเรื่องนี้ ก็พลอยทำให้หลั่งน้ำตาอินตามตัวละครหลักไม่ลงไปเลยจริงๆ

ดูหนัง

รีวิว ไสหัวไป นายส่วนเกิน

ความรู้สึกหลังดู

เอาเป็นว่า ไสหัวไปนายส่วนเกิน ยังไม่ใช่หนังที่ดี เพราะหนังเต็มไปด้วยความพยายาม และเมื่อพยายามมากเกินไป จึงทำให้หลายๆ องค์ประกอบดูไม่สมูทและสมจริง เต็มไปด้วยการประดิษฐ์ประดอยที่ชวนขัดใจ อีกทั้งการเล่าเรื่องของหนังก็ช่างราบเรียบ เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกเหมือนอยู่บนกราฟเส้นตรงที่ไม่มีอะไรชูเด่นขึ้นมาได้เลย แม้ว่าจะมีทีมแคสติ้งที่น่าสนใจและชวนติดตาม แต่พวกเขาถูกกลบมิด…เพราะหนังพยายามบิวท์อาการป่วยโยนใส่คนดู

ไสหัวไปนายส่วนเกิน เข้าฉายโรงภาพยนตร์ประเทศไทย พฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564 พร้อมกับกับภาพยนตร์ใหม่อีก 6 เรื่องโดยที่ยังมีหนังเก่าที่ยังได้รับความนิยมมากค้างอยู่ในโรงหลายเรื่องอย่าง Eternals ฮีโร่พลังเทพเจ้า และ ร่างทรง The Medium ในวันเดียวกันยังมีหนังไทย ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด เข้าชนกันอีกเรื่องหนึ่งด้วย ผลการ

สำรวจจากชมรมวิจารณ์บันเทิงรายงานว่า ในวันเปิดตัว ไสหัวไปทำเงินได้เพียง 1.2 แสนบาท ได้อันดับ 7 ประจำวัน นอกจากสามเรื่องที่กล่าวมา หนังสัปดาห์ก่อน เพราะเราคู่กัน The Movie และหนังต่างชาติที่เข้าพร้อมกันคือ Dont’ Breathe 2 ลมหายใจสั่งตาย 2 กับ สไปรอล เกม/ลอก อำมหิต ก็ยังทำเงินวันแรกได้สูงกว่า เวลาที่เหลือต่อจากนี้ในโรง

ภาพยนตร์ของไสหัวไปจึงน่าเป็นห่วงมากว่าทางค่ายหนังจะมีวิธีเรียกคนดูอย่างไร หรืออาจตัดใจและย้ายไปหวังกับตลาดต่างประเทศแทน
หนังเรื่องนี้เป็นการประกบคู่กันครั้งแรกระหว่างมิน พิชญา และ อนันดา เอเวอริ่งแฮม จัดเป็นหนังประเภทโรแมนติก คอมเมดี้ มินเป็นคนยุคใหม่ที่โชคร้ายประสบเคราะห์กรรมซ้ำซ้อน ต้องออกจากงาน เลิกกับแฟน และเป็นมะเร็งในคราวเดียวกัน ในการไปรักษาตัว ได้เกิดรักแรกพบกับอนันดา หมอผู้คร่ำเครียดจริงจัง แต่เนื่องจากเธอเป็นผู้มีพลังบวก

มากมายมหาศาล จึงเกิดสายสัมพันธ์อันดีงามและก่อให้เกิดเรื่องราวประทับใจให้ผู้คนรอบตัว เธอมีวิธีเยียวยาตัวเองเวลาประสบปัญหาต่างๆ คือการได้เข้าไปอยู่ในโลกจินตนาการแล้วจะสามารถกลับมาเบิกบานเหมือนเดิมได้

เว็บหนัง

รีวิว ไสหัวไป นายส่วนเกิน

หนังทำให้คนดูมีความสุขและมีกำลังใจได้ครึ่งเรื่อง หลังจากนั้นก็เข้าสู่ความเป็นจริงที่ว่ามะเร็งเป็นโรคร้ายแรงที่ผู้ป่วยบางรายไม่มีทางรักษาหายได้ บางบุคลิกภาพในแง่ลบที่ถูกกดทับอยู่ภายในของผู้ป่วย กลับออกมามีบทบาทมากทำให้จิตใจอ่อนแอตามสภาพที่ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ เรื่องจึงจบลงอย่างโศกนาฏกรรม

เรื่องนี้จึงจัดเป็นหนังดีมากที่ให้ทั้งพลังบวกและตีแผ่ความเป็นจริงของชีวิต สำหรับคอหนังทั่วไปอาจให้คะแนนได้ถึง 10 เต็ม เพราะองค์ประกอบทั่วไปล้วนทำได้ดีในมาตรฐาน แต่สำหรับคนที่มีประสบการณ์บุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งอาจรู้สึกเหมือนถูกตอกย้ำซ้ำเติมพาลให้สิ้นหวังการใช้ชีวิตได้เร็วขึั้นอีก ด้วยความเห็นส่วนตัวจึงขอให้เรื่องนี้ 7 เต็ม 10 ครับ

ได้เวลามาพิสูจน์หนังดราม่าเคล้ารอยยิ้มกับคอนเซ็ปต์ที่เชิญชวนผู้ชมมา “ฮีลลิ่ง” ด้วยการชมหนังเรื่องนี้ ที่น่าจะเป็นผลงานหนังเรื่องแรกของค่ายหนังน้องใหม่ เบนเล่ย์ ฟิล์ม อย่าง “ไสหัวไปนายส่วนเกิน” (Go Away Mr. Tumor) เป็นหนังที่เป็นการจับคู่เคมีนักแสดงนำ “มิน พีชญา” กับ “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม” ออกมาได้น่าสนใจ วันนี้จะพาไปฟังรีวิวกันค่ะ ไปดูกันว่าช่วยเยียวยาหัวใจผู้ชมได้จริง ๆ หรือเปล่า ไสหัวไปนายส่วนเกิน เป็นเรื่องราวของ ผักกาด กราฟฟิคดีไซเนอร์สาวกับเรื่องราวพังๆ

ที่ดันแห่มาพร้อมกันในวันเกิดเบญจเพสของเธอ ทั้งต้องออกจากงานเพราะงัดกับหัวหน้า ตามมาติดๆ กับอาการอกหักเมื่อรู้ว่าแฟนหนุ่มนอกใจ และที่พีคสุดคือรู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญกับโรคร้ายที่คาดไม่ถึง

แต่ท่ามกลางเรื่องพังๆ ที่กำลังถาโถม ผักกาดกลับได้ค้นพบความรักดีๆ ที่อยู่รายรอบตัวเธอ ทั้งได้ใกล้ชิดกับหมอหนุ่มยิ้มยากที่เธอแอบปิ๊งอย่าง หมอกวินทร์

และกำลังใจจากครอบครัวและแก๊งเพื่อนซี้ที่พร้อมจะหัวเราะและร้องไห้อยู่เคียงข้างเธอเสมอ และเพราะความรักที่เธอได้รับ

รีวิว ไสหัวไป นายส่วนเกิน

ผักกาดพร้อมแล้วที่จะไม่ยอมแพ้ พอกันทีกับความเศร้า ขอลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆ เพื่อส่งต่อพลังบวกให้กับคนอื่นด้วยเช่นกัน

หนังที่มีลายเส้นออกมาค่อนข้างเห็นได้อยู่บ้างว่าเป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับนายทุนจากเมืองจีนแน่ๆ เพราะโครงเรื่องหลักของหนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเค้าโครงเรื่องจริงของนักวาดการ์ตูนสาวชาวจีน “ฉงตุ้น” ที่พบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่เลือกที่จะใช้มุมมองแตกต่างและรอยยิ้มในการสู้กับความมืดมิด กลายเป็นหนึ่งเรื่องราวที่เคยสร้างแรงบันดาลใจทั่วแผ่นดินใหญ่มาแล้ว

หนังรู้ตัวเองดีว่ากำลังเล่าเรื่องราวอะไรอยู่ มีการหยิบยกเอาภาวะอาการป่วยโรคร้ายของตัวละครหลักมาเป็นจุดหลักในการดำเนินเรื่องไปได้ตลอดทาง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีจุดเด่นอยู่แค่เพียงเท่านั้น และเมื่อนำมาผนวกกับองค์ประกอบต่างๆ เข้าด้วยกันแล้ว คนดูอยากจะไสหัวไป…มีความคิดอยากจะเดินออกจากโรงหนังพอสมควร

หนังยังเต็มไปด้วยจุดด้อยอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นด้อยหนักๆ คือบทภาพยนตร์ อีกทั้งยังพบปัญหาในการดำเนินเรื่องด้วยการใช้ตัวละคร จังหวะการเดินเรื่องเป็นละครหลังข่าวไปนิด ซ้ำยังไม่สามารถขับคาแรกเตอร์ต่างๆ ออกมาทำให้คนดูรู้สึกคล้อยตามได้อย่างเท่าที่ควร

สิ่งที่ขัดใจในหนัง ไสหัวไปนายส่วนเกิน แบบโดดเด่นเลยก็คือจำพวกไดอะล็อกบทสนทนาของตัวละครต่างๆ ทีทำออกมาได้ประดิษฐ์ประดอยเกินเหตุ ผลลัพธ์ออกมาเป็นเหมือนดูละครซ้ำซาก ประโยคพูดถึงของตัวละครยังไม่ค่อยมีความเป็นธรรมชาติเท่าที่ควรนัก เป็นภาษาที่คนทั่วๆ ไปได้พูดคุยกันแบบนี้แน่ๆ นี่จึงเป็นองค์ประกอบที่ทำให้รู้สึกขัดหูไปตลอดทั้งเรื่อง

การแสดงที่ดูยังไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าไหร่ เมื่อมาเล่นหนังใหญ่ คราบความเป็นนางเอกละครหลังข่าวยังติดมาเต็ม จะมีแต่ก็เพียง อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม เท่านั้นที่รอดไปจากจุดนี้ได้ แต่กระนั้นบทบาทของเขาก็ช่างธรรมดาและถ่ายทอดออกมาได้จืดเลยเกิน

ไสหัวไปนายส่วนเกิน กลายเป็นหนังที่ช่างจืดชืด พยายามบิวต์อารมณ์คนดูด้วยการเอาประเด็นอาการป่วยโรคร้ายมาเป็นตัวหลัก พยายามที่จะขยี้อารมณ์และเค้นน้ำตา ที่แน่นอนว่าอาจจะเข้าถึงกับผู้ชมบางส่วน แต่เหมือนมามองดูภาพรวมกับองค์ประกอบแสนยุ่งเหยิงของหนังเรื่องนี้ ก็พลอยทำให้หลั่งน้ำตาอินตามตัวละครหลักไม่ลงไปเลยจริงๆ

เอาเป็นว่า ไสหัวไปนายส่วนเกิน ยังไม่ใช่หนังที่ดี เพราะหนังเต็มไปด้วยความพยายาม และเมื่อพยายามมากเกินไป จึงทำให้หลายๆ องค์ประกอบดูไม่สมูทและสมจริง เต็มไปด้วยการประดิษฐ์ประดอยที่ชวนขัดใจ

อีกทั้งการเล่าเรื่องของหนังก็ช่างราบเรียบ เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกเหมือนอยู่บนกราฟเส้นตรงที่ไม่มีอะไรชูเด่นขึ้นมาได้เลย แม้ว่าจะมีทีมแคสติ้งที่น่าสนใจและชวนติดตาม แต่พวกเขาถูกกลบมิด…เพราะหนังพยายามบิวท์อาการป่วยโยนใส่คนดู

รีวิวหนังไทย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *