รีวิว Hope Frozen ความหวังแช่แข็ง ขอเกิดอีกครั้ง

รีวิว Hope Frozen ความหวังแช่แข็ง ขอเกิดอีกครั้ง

สวัสดีจ้าวันนี้แอดจะมารีวิวหนังเรื่อง รีวิว Hope Frozen ความหวังแช่แข็ง ขอเกิดอีกครั้ง นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ๆ ครับ สำหรับ Netflix ที่ตัดสินใจเอาภาพยนตร์สารคดี Hope Frozen ฝีมือการกำกับโดย อดีตพิธีกรรายการวัยรุ่น “ทีนทอล์ก” และนักข่าวอิสระ ไพลิน วีเด็ล รีวิวหนัง Hope Frozen ความหวังแช่แข็ง เรื่องนี้ออกมาฉาย

เพราะแม้ว่าตัวสารคดีเองจะมีจุดเริ่มต้นจากข่าวที่ผู้คนสนใจในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และตัวสารคดีเองก็ได้มีโอกาสฉายทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงยังได้รับรางวัลระดับสากลมาแล้วจากหลายเวที ทั้งรางวัลชนะเลิศภาพยนตร์สารคดีนานาชาติยอดเยี่ยมจากเทศกาล Hot Docs Canadian International Documentary Festival ในปี 2019 และในปีนี้

เว็บดูหนัง

ยังได้รับรางวัลชนะเลิศภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม ในเทศกาล San Antonio Independent Film Festival จากภาพยนตร์สารคดีที่เข้าชิงรางวัลกว่า 900 เรื่อง อีกด้วยแต่ก็ต้องยอมรับว่า ด้วยกระแสของสารคดีเล็ก ๆ เรื่องนี้ก็ถือว่าค่อนข้างอยู่ในวงแคบ ๆ สำหรับคนที่เป็นแฟนหนังสารคดีเท่านั้น เรียกได้ว่ามีโอกาสที่จะฉาย และโอกาสที่จะได้ชมนั้นมี

น้อยมาก ๆ จนกระทั่ง Netflix ได้ประกาศไว้เมื่อเดือนก่อนว่า จะหยิบเอาภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้มาฉาย ผมเองที่เคยพลาดโอกาสในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในเทศกาลหนัง ก็ถืงกับต้องตั้งเวลา และตั้งตารอไว้เลยครับ  หนังไทยเก่าน่าดู

เพราะด้วยความน่าสนใจของเรื่องราว รวมถึงตัวสารคดีเรื่องนี้ ใน Netflix เอง ก็จะมีความแตกต่างออกไปจากเวอร์ชันที่ได้ฉายในเทศกาลต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ด้วย เพราะจะมีการเพิ่มเติมภาพความทรงจำของครอบครัวนี้ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนเพิ่มเติมเข้าไปอีก สำหรับผม นี่จึงถือว่าเป็นโอกาสที่พิเศษมาก ๆ

สารคดีเรื่องนี้ตามติดเรื่องราวของครอบครัว “เนาวรัตน์พงษ์” โดยแกนกลางของเรื่องราวก็คือ เด็กหญิงวัยสองขวบที่ชื่อว่า “น้องไอนส์” เด็กหญิงเมทรินทร์ เนาวรัตน์พงษ์ ที่เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งเนื้องอกประสาทส่วนกลาง อันเป็นโรคมะเร็งที่ร้ายแรงที่สุดในโลก แม้ว่าจะผ่านการผ่าตัด 10 ครั้ง คีโม 12 ครั้ง ฉายแสง 2 ครั้ง และเข้าออกไอซียูหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถจะยื้อชีวิตของน้องไอนส์ไว้ได้

รีวิว Hope Frozen ความหวังแช่แข็ง ขอเกิดอีกครั้ง

“ดร.สหธรณ์ เนาวรัตน์พงษ์” ผู้เป็นพ่อ จึงตัดสินใจที่จะนำร่างของลูกสาวไปยังมูลนิธิ Alcor Life Extension Foundation ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา เพื่อทำวิธี “ไครโอนิกส์” (Cryonics) หรือการเก็บรักษาเซลล์ด้วยการแช่แข็งร่าง (หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่นศีรษะ) ในถังที่บรรจุไนโตรเจนเหลวภายใต้อุณหภูมิ -196 องศา โดยหวังว่าเมื่อวิทยาการทางการแพทย์เจริญก้าวหน้า ก็อาจจะมีวิธีการที่จะรักษาโรคร้าย และปลุกชีวิตน้องไอนส์ให้ฟื้นคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่ง ดร.สหธรณ์ยังหวังพยายามส่งต่อความหวังนี้ให้กับเมทริกซ์ ลูกชายคนโต ที่จะมีโอกาสใช้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ในการคืนชีพให้กับน้องสาวของเขาเอง

แม้ว่าด้วยภาพที่สื่อออกมาทั้งหมด จะดูมีความเป็นวิทยาศาสตร์และมีความวิชาการหน่อย ๆ อารมณ์ประมาณเหมือนเป็นสารคดีที่จะพาไปดูขั้นตอนของการทำไครโอนิกส์ พาไปดูเบื้องหลังและเคล็ดลับต่าง ๆ รวมถึงการค้นหาว่าในวงการวิทยาศาสตร์นั้น เล็งเห็นผลหรือมีความหวังอะไรกับการรักษาโรคมะเร็ง หรือการเก็บรักษาร่างไว้เพื่อรอวิทยาการในอนาคตหรือไม่ แต่ก็ต้องบอกเลยนะครับว่า กับสารคดีเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แม้ว่าจะมีเรื่องวิทยาศาสตร์เข้ามาเจือปนบ้าง

แต่ก็ต้องถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากนัก จะว่าไป สำหรับผมแล้ว สารคดีเรื่องนี้คือสารคดีที่ว่าด้วยเรื่องของ “ครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์” ที่มีความเป็นครอบครัววิทยาศาสตร์ ที่มีแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงยังสะท้อนภาพความเชื่อแบบไทย ๆ ทั้งเรื่องของความเชื่อ ศาสนา เรื่อยจนไปถึงเรื่องใหญ่โตอย่างเช่นเรื่องปรัชญาได้ดีทีเดียวเลย

ด้วยตัวของคุณพ่อนักวิทยาศาสตร์ที่มีแนวคิดที่จะทำไครโอนิกส์กับร่างของลูกสาว และภรรยาที่ก็เป็นนักวิทยาศาตร์ รวมถึง “เมทริกซ์” ลูกชาย ที่ก็มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์ ที่มีความหวังแบบวิทยาศาสตร์ว่า

ลูกสาวที่ถูกแช่ในถังไนโตรเจนเหลวนั้นไม่ใช่ “ศพ” หรือ “คนตาย” แต่เป็นเพียง “คนป่วย” ที่ถูกทำให้หยุดกิจกรรมทุกอย่างในระดับเซลล์ เพื่อหวังว่าจะมีวิธีการใดก็ตามในอนาคตที่จะรักษากับโรคมะเร็ง ปรับเปลี่ยนในระดับดีเอ็นเอ และประกอบร่างฟื้นคืนขึ้นมาในร่างใหม่ และกลายเป็น “น้องไอนส์” ในร่างใหม่ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาในอีกหลายสิบ หรือหลายร้อยปีนับจากนี้
ซึ่งข้อเท็จจริงของความเป็นวิทยาศาสตร์นี่แหละครับ ที่กำลังจะมาพบกับ “จุดตัด” ของความเชื่อ ศาสนา สัจธรรม ปรัชญาบางอย่างที่ตัดกับความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างรุนแรง ซึ่งทำให้ความเชื่อที่เข้มข้นในฝั่งวิทยาศาสตร์บางทีก็ดูเพ้อฝันไปเลย อย่างเช่นเรื่องง่าย ๆ อย่างการเก็บไว้เฉพาะศีรษะ

ที่อาจทำให้วิญญาณไปสู่ภพภูมิแบบไม่ครบถ้วน การไม่ยอมรับสัจธรรมที่ว่าทุกชีวิตมีการเกิดก็ต้องมีการดับ การที่ถูกมองว่าไม่ยอมตัดใจจากการพลัดพราก ที่เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ต้องเจอ ความเป็นมนุษยธรรมในแง่ที่ว่า ถ้าน้องไอนส์ฟื้นขึ้นมาจริง ๆ ในวันหนึ่งแม้ว่าจะมีหลักฐานเป็นข้าวของ ภาพถ่าย ภาพวีดิโอ (หรือแม้แต่หนังเรื่องนี้) บันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยมีครอบครัวที่รักเธออยู่และมีตัวตนจริง แต่ถึงเวลานั้น เธออาจจะต้องอยู่คนเดียวลำพังโดยที่ไม่มีใครอยู่ด้วยแล้วก็ได้

หรืออีกจุดที่ผมชอบมากในหนังก็คือ เรื่องของการที่เมทริกซ์ได้มีโอกาสไปเรียนรู้กับศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง แล้วค้นพบว่า แม้ร่างกายจะฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่การที่จะเชื่อมต่อหรือเรียกความทรงจำที่เคยมีเมื่อตอนมีชีวิตกลับคืนมาอาจจะเป็นเรื่องยากกว่า หรืออาจแทบเป็นไปไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นจุดไคลแม็กซ์ใหญ่ของตัวหนัง ที่แม้ว่าไม่ได้เปลี่ยนความคิดของครอบครัว แต่ก็ทำให้ความคิดและความเชื่อต้องสั่นคลอนในระดับที่ทำให้ความมุ่งมั่นของเมทริกซ์ที่อยากจะใช้ความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มาช่วยน้องสาว ยังต้องกลับมา “คิดใหม่” กันอีกที

แต่ทั้งหมด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ครอบครัวก็ยังมีความหวังว่า สักวัน เทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จะเปลี่ยนโฉมหน้าความเชื่อ สัจธรรม และปรัชญาทั้งหลายทั้งปวง รวมถึงความรัก และความหวัง จะทำให้เด็กหญิงคนหนึ่ง ได้มี “โอกาสที่สอง” ที่จะได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป
แม้ว่าจุดสังเกตหนึ่งในหนังที่ผมรู้สึกได้ว่า กราฟความพีกของหนังสารคดีเรื่องนี้อาจราบเรียบไปนิด แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยฝีมือการกำกับและสัมภาษณ์ของผู้กำกับ และการลำดับภาพโดย ลี ชาตะเมธีกุล นักลำดับภาพฝีมือเทพแห่งยุค สามารถลำดับภาพ และใช้ภาพในการสื่อเรื่องราวได้อย่างปราณีต งดงาม และสวยราวกับเป็นหนัง Fiction ดี ๆ เรื่องหนึ่งเลย ทำให้เราสามารถคล้อยตามไปกับเรื่องราวของครอบครัวได้อย่างงดงาม รวมถึงการใช้ฟุตเตจของครอบครัวมาประกอบ ก็ทำได้อย่างมีพลังและอิมแพ็กมาก ๆ ชนิดที่ว่าดูแล้วอาจน้ำตาซึมได้เลยทีเดียว

รวมถึง Original Soundtrack แนวแอมเบียนต์โดย ฟิว ชัพวิชญ์ เต็มนิธิกุล ที่มีกลิ่นอายของความเศร้าเจือไปกับความหวังอันสวยงาม ซึ่งทำงานได้เข้ากับภาพ และส่งแรงกระเพื่อมทางอารมณ์ใหัภาพและตัวหนังได้อย่างพอดี ไม่แหลมเด่นออกมาจากตัวหนัง แต่ก็ไม่ได้กลมกลืนเกินไปจนไม่รู้สึกถึงอะไรเลย

ดูหนัง

รีวิว Hope Frozen ความหวังแช่แข็ง ขอเกิดอีกครั้ง

ความรู้สึกหลังดู

‘ความหวังแช่แข็ง: ขอเกิดอีกครั้ง’ คือสารคดีที่หลอมรวมความเป็นวิทยาศาสตร์และความเชื่อ ความฝันและความเป็นจริง ความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้ ปรัชญาที่ครั้งหนึ่งเคยจริง แต่มันอาจกลายเป็นเรื่องไม่จริงก็ได้ สัจธรรมและการล้มล้างสัจธรรม การและรวมถึงความรักและการพลัดพลากเอาไว้รวมกันได้อย่างงดงาม เศร้าสร้อย
แต่ในขณะเดียวกันที่ชม เราก็จะรู้สึกถึงแสงสว่างอะไรบางอย่างที่แม้จะยังพร่าเลือนและริบหรี่ แต่มันก็ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้ว่า จะลุกโชนขึ้นในวันใดวันหนึ่ง ที่น้องไอนส์ลืมตาขึ้นมามองเห็นโลกยุคใหม่ในอีก อาจจะร้อยหรือพันปีข้างหน้า หรือนั่นก็อาจเป็นไปไม่ได้เลย

เป็นที่จับตามองและถูกพูดถึงอย่างมากในเวทีการประกวดนานาชาติ สำหรับ Hope Frozen : A Quest To Live Twice หรือ ความหวังแช่แข็ง: ขอเกิดอีกครั้ง ภาพยนตร์สารคดีจากผู้กำกับและนักข่าว ไพลิน วีเด็ล ซึ่งกำลังจะฉายในระบบสตรีมมิง Netflix วันที่ 15 กันยายน 2563
ความน่าสนใจอย่างแรกของ Hope Frozen: A Quest To Live Twice คือไม่บ่อยนักที่ฝั่งไทยจะมีสารคดีที่ไม่ใช่บันทึกธรรมชาติ สัตว์ป่าให้ได้รับชม เหตุผลสองคือนี่เป็นสารคดีที่บันทึกจากเรื่องจริงของครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์ ซึ่งได้ทำการแช่แข็งเซลล์สมองของ น้องไอนส์-เด็กหญิงเมทรินทร์ เนาวรัตน์พงษ์
ลูกสาววัย 2 ขวบ ที่เสียชีวิตด้วยมะเร็งในระดับสมองอย่างรุนแรง และนั่นหมายถึงความหวังที่ครอบครัวอยากให้น้องไอนส์กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง

เว็บหนัง

รีวิว Hope Frozen ความหวังแช่แข็ง ขอเกิดอีกครั้ง

ครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์ ตัดสินใจนำร่างของน้องไอนส์ แช่แข็งด้วยเทคนิค ไครออนิกส์ (Cryonics) ซึ่งเป็นเทคนิคการแช่แข็งร่างมนุษย์ทั้งร่างหรือบางส่วนเอาไว้ในอุณหภูมิต่ำ โดยผู้ชมจะได้เห็นขั้นตอนต่างๆ ของการแช่แข็ง เห็นสายตาแห่งความหวัง เห็นมุมมองการเกิดใหม่ที่มีมุมมองทางวิทยาศาสตร์เข้ามาขานรับ และเห็นมุมมองการเกิดใหม่จากครอบครัวที่นับถือพระพุทธศาสนา

“การติดตามบันทึกเรื่องราวของครอบครัวน้องไอนส์กับการตัดสินใจและความทุ่มเทครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อลูกสาวของพวกเขานับเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายมาก ฉันได้รับเกียรติอย่างมากให้อยู่ในทุกช่วงเหตุการณ์สำคัญที่ครอบครัวนี้ต้องเผชิญ นับเป็นประสบการณ์ที่เปิดความคิดและช่วยเปิดใจของฉันได้อย่างมากเรื่องราวของพวกเขาทำให้ฉันตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตศรัทธาและความรักในแง่มุมที่ทั้งซาบซึ้งและน่าประทับใจ และส่งผลต่อฉันในหลายๆ ทางฉัน” ไพลิน ผู้กำกับและผู้สร้างสารคดีกล่าว

รีวิว Hope Frozen ความหวังแช่แข็ง ขอเกิดอีกครั้ง

สารคดีHope Frozen: A Quest To Live Twice ได้รับรางวัลระดับบนเวทีระดับสากลมาแล้วหลายเวที อาทิ รางวัลชนะเลิศภาพยนตร์สารคดีนานาชาติยอดเยี่ยมจากเทศกาล Hot Docs Canadian International Documentary Festival ปี 2019 รางวัลชนะเลิศภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมจากภาพยนตร์สารคดีที่เข้าชิงรางวัลกว่า 900 เรื่องในเทศกาล San Antonio Independent Film Festival ปี 2020

อีกเหตุผลที่ควรดู สารคดีHope Frozen: A Quest To Live Twice เวอร์ชันที่ฉายบน Netflix เพราะมีเนื้อหาแตกต่างจากที่เคยฉายในเทศกาลต่างๆ ไพลินได้เพิ่มเติมภาพความทรงจำที่ถ่ายโดยครอบครัวของน้องไอนส์ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ทั้งนี้Hope Frozen: A Quest To Live Twice จะเปิดให้รับชมได้ทั่วโลกใน 31 ภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาโปรตุเกสแบบบราซิล, อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี สเปน (ละติน) โปแลนด์ สเปน (คาสตีล) ตุรกี และไทย

รีวิวหนังไทย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *