รีวิว The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ
“The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ” หนังที่ชื่อภาษาไทยกับภาษาอังกฤษไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด เป็นหนังที่สร้างจากทาง บริษัท เลเซอร์แคท จำกัด ซึ่งเป็น บริษัทที่ก่อตั้งโดย แดน – วรเวช ดานุวงศ์ ซึ่งที่ผ่านมามีผลงานหนังมา 2 รีวิวหนัง ตัวพ่อเรียกพ่อ THE ONE TICKET เรื่อง คือ “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” กับ “ฤดูที่ฉันเหงา”
และผลงานทั้ง 2 เรื่องนั้น แดนเป็นคนกำกับเอง แต่เรื่องนี้ แดนผันตัวขึ้นนั่งเป็น Producer และให้เพื่อนสนิทที่ร่วมทำหนังด้วยกันมาตลอดอย่าง ปอย – ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา เป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้แทนจากตัวอย่างของหนัง ถือว่าน่าสนใจนะครับ เพราะดูเหมือนจะได้เห็นหนังตลกแนวพ่อลูก โดยเฉพาะน้องยูเค-ณัฐธยาน์ องค์ศรีตระกูล
ที่แสดงเป็น ป. ปลา ลูกของ โป้ง ซึ่งก็คือแดนในเรื่อง และมุกตลกที่ยิงกราดมาแบบไม่ยั้ง สไตล์หนังแดน (ซึ่งหลายคนมองว่าคล้ายหนังยอร์ช-ฤกษ์ชัย ที่ปีนี้ไม่มาตามนัดปลายปี) แต่ผมว่าตัดจังหวะค่อนข้างเร็วมากไปนิด ถ้าตั้งใจดูก็พอจะเข้าใจ แต่ถ้าดูผ่านๆก็ยากที่จะรู้เรื่อง
เปิดเรื่องมาเราก็จะได้พบกับการเล่าเรื่องสไตล์การ์ตูนดูเหมือนทำให้มันโอเวอร์เกินจริงไปซะหมด ดูหนัง แต่พอ ป. ปลา (น้องยูเค) ออกมาเท่านั้น เราก็ได้พบกับหนึ่งในเด็กที่น่ารักที่สุดในหนังไทยที่เคยดูมา พร้อมกับการแสดงที่น่ารักไปซะหมด ความ Loser ของพระเอกเมื่อต้องมาผสมกับความน่าสงสารของน้อง ป. ปลา ที่ยิ่งดูยิ่งรันทด
เมื่อเรื่องสลับมาสู่จังหวะตลกในก๊วนเพื่อนที่นำโดย ฟัก (กอล์ฟ-ฟักกลิ้งฮีโร่) ที่มีภารกิจร่วมกัน ก็มีทั้งโดน ทั๊งแป้ก แต่บางมุกก็เสื่อมเหลือทน ไม่น่าเชื่อว่าจะเอามาใส่ในหนังได้
ช่วงกลางหนังนำเสนอความน่าสงสารของ ป.ปลา อย่างต่อเนื่องจนไปสู่การเข้ามาของ ณฐา (นิว-ปทิตตา อัธยาตมวิทยา) ที่ดูเหมือนมาเสริม part ดราม่าของหนังได้ดียิ่งขึ้น
แต่เมื่อหนังตัดกลับไปสู่ภารกิจ ก็ยังพบมุกตลกแบบเดิม ทั้งโดน ทั้งฮา ทั้งแป้ก ทั้งเสื่อม เช่นเคย แต่สิ่งที่หนังปั้นทรงมาอย่างดีนั้นเริ่มก่อผล คือดราม่าพ่อลูก
ช่วงท้าย หนังพลิกผันเล่นเอามึนไปแว๊บนึง เริ่มลดตลกลงและขยี้ดราม่ากันอย่างเมามัน ช่วงนี้คนดูมีเสียน้ำตากันไปประปรายอย่างแน่นอน ยิ่งดราม่าเข้มข้น มุกตลกในกลุ่มเพื่อนกลับยิ่งดูเป็นส่วนเกินของหนังมากขึ้น แต่หนังก็ม้วนกลับลงมาจบได้ค่อนข้างดีพอประมาณ และดูจริงใช้ได้ด้านการแสดงของหนังเรื่องนี้มีเรื่องไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นครับ
แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะในมุมมองของผม นักแสดงเด็กอย่างน้อง ยูเค เล่นดีกว่านักแสดงที่เหลือในเรื่องทุกคน เล่นได้เป็นธรรมชาติในระดับที่ไม่เคยเห็นในเด็กคนไหนมาก่อน ทั้งสายตา อารมณ์ น้ำเสียง จังหวะการพูด การร้องไห้ น้องอายุ 6 ขวบเองนะเนี่ย เด็กกว่าตามบทที่เป็นเด็ก 7 ขวบอีกต่างหาก เล่นได้เหมือนไม่เคยติดภาพการแสดงศาสตร์ใดๆ
มาก่อนเลย ถ้าน้องยูเคจะมีชื่อเข้าชิงรางวัลหรือต้องเดินสายรับรางวัลในปีหน้า ผมก็ไม่แปลกใจและจะคอยเชียร์ด้วย ส่วน แดน ดูล้นไปพอควรในเรื่องนี้ อาจเพราะอยากให้เป็นสไตล์การ์ตูน ส่วน กอล์ฟ เล่นใช้ได้เลยแต่กระแทกเสียงมากเกินไปจนดูเหมือนตะโกนตลอกเวลา ส่วน นิว ก็พอได้ครับ นักแสดงสมทบที่เหลือก็พอได้เช่นกัน
ที่ชอบจริงๆเห็นจะเป็นบทของ แอร์โรว์ (นาย เดอะคอมเมเดี้ยน) ที่เล่นได้ฮาแย่งซีนพอสมควร สิ่งที่ชอบมากๆของหนังเรื่องนี้คือดราม่าพ่อลูกที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ส่วนหนึ่งคงด้วยการแสดงที่สุดยอดของน้องยูเค รวมทั้งบทและการกำกับของปอย ที่เข้าใจความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูก อย่างแท้จริง เฉพาะส่วนดราม่านั้นเป้นดราม่า พ่อ-ลูก ที่ดีที่สุดที่เคย
ดูมาในชีวิตเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว หนังสามารถเรียกน้ำตาของคนดูได้ไม่ยากเลยทั้งผู้ชายผู้หญิง ผมเองน้ำตารื้นกับดราม่าพ่อ-ลูกตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องแล้ว อีกทั้งยังมีคติสอนใจทั้งวัยรุ่น ทั้งพ่อแม่ และแม้กระทั่งเด็กน้อย ที่ชอบคิดว่าพ่อแม่ไม่รักไม่เอาใจใส่ หนังเรื่องนี้ทำได้สุดยอดจริงๆ
รีวิว The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ
สิ่งที่ไม่ชอบมากๆ ของหนังเรื่องนี้ ก็มีครับ ก็คือมุกตลกบางมุกที่อยู่ในระดับเสื่อมมากๆ ในไอฟายว่าสกปรกโสโครกและไม่สร้างสรรค์แล้ว แต่ในเรื่องนี้เรียกว่าเสื่อมสุดๆ จะดีกว่า ไม่เคยคิดว่าจะมีใครเอาภาพแบบนี้มาให้เห็นในหนัง ทั้งที่มุกตลกโดยเฉพาะเรื่องของพ่อลูกนั้น่ารักมากๆ ดูแล้วหัวเราะยิ้มได้ตลอด มุกตลกเพื่อนฝูงก็ถือว่าดี
มุกตลกสังขารก็พอจะทน แต่มุกเสื่อมมันทำลายหนังเรื่องนี้อย่างชัดเจน ลองนึกถึงหนังที่เหมาะจะพาครอบครัวและลูกมาดู แล้วพอถึงฉากเสื่อมคุณอาจอยากจะพาลูกออกจากโรงไปเลย มันเสียหายนะครับ ผมเข้าใจครับว่าบางฉากมันตลก แต่มันจำเป็นหรือไม่ในเมื่อองค์ประกอบอื่นของหนังมันดีขนาดนี้
หนังเรื่องนี้เป็นสุดยอดดราม่าพ่อลูก หัวเราะร่า น้ำตาริน ที่อยากให้ครอบครัวต่างๆได้ดูกัน แต่ความเสื่อมของบางมุกทำให้ผมไม่กล้าแนะนำได้เต็มปาก (กลัวโดนด่า) ส่วนวัยอื่นตั้งแต่วัยรุ่นเป็นต้นไปถือว่าดูได้ดูดี ฮาพอมีให้ตลกได้ยิ้มๆ ขำๆ ยิ่งพ่อแม่ยิ่งน่าดู จะได้รู้ว่าคุณเคยปล่อยให้ลูกต้องเป็นแบบน้องยูเคในเรื่องหรือไม่ บางครั้งได้ดูภาพของครอบครัว
จากมุมมองภายนอก ก็อาจทำให้เราได้เห็นภาพได้กว้างขึ้น คิดได้ดีขึ้น และเวลาโกรธกัน จะได้หันกลับมาคิดว่า เราเคยรักและดูแลเอาใจใส่กันมาขนาดไหน
ว่าตามจริงผมชอบพล็อตของ ตัวพ่อ เรียกพ่อ นะครับ กับเรื่องคุณพ่อใบเลี้ยงเดี่ยวชื่อว่า โป้ง (แดน วรเวช)
ที่ต้องเลี้ยงลูกสาวตัวน้อยเพียงลำพังแล้วทีนี้พี่แกดันทำผิดพลาดในการซื้อตั๋วคอนเสิร์ตที่ลูกสาวอยากดูเป็นหนักหนา เขาเลยต้องทำทุกอย่างเพื่อหาตั๋วมาให้จงได้ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ตามพล็อตเข้าท่านะครับ ในขณะที่ตัวหนังเองในตอนต้นๆ ก็พยายามเน้นขำแล้วก็พยายามบอกเล่าว่าโป้งนั้นไร้สาระแค่ไหน ซึ่งถ้าให้พูดตรงๆ
ก็ดูไร้สาระจริงๆ ครับ (5555) ดูตอนต้นๆ ก็แอบกลัวเหมือนกันว่าหนังมันจะแบบนี้ไปจนจบไหม ทิศทางของหนังดูกระจาย เหมือนจะเน้นขำแต่บางอันก็แป๊ก อย่างฉากที่โป้งเล่าพล็อตการ์ตูนต๊องๆ ให้ บก. ฟังนั่น ผมนึกถึงฉากป๋าเทพเล่าเรื่อง “จิ้งจกจ๋า หนีข้าทำไม” ในโป๊ะแตกขึ้นมาเลยครับ (แต่ป๋ากับพี่หม่ำเล่นฉากนั้นได้ขำกว่านะผมว่า)
ความรู้สึกหลังดู
จุดที่ถือว่าช่วยหนังไว้อย่างมาก มายคือ “น้องยูเค ณัฐธยาน์ องค์ศรีตระกูล” ที่แสดงเป็น ป.ปลา ลูกสาวของโป้งนั่นแหละครับ น้องน่ารักมาก สดใสมาก บทจะฮาน่ารักก็ดูไร้เดียงสา ไม่เกินวัย ไม่แก่แดด บทจะดราม่าก็ทะลวงต่อมน้ำตาเราได้ สารภาพแบบตรงๆ เลยครับว่าความน่ารักมีชีวิตชีวาของน้องยูเคนี่แหละ คือพลังสำคัญที่ทำให้ผมดูหนังผ่านช่วงแรกๆ มาได้
พอมาช่วงครึ่งหลังก็มีปมดราม่า มีปมความพยายามของโป้ง ซึ่งตัวพล็อตมันโอเคครับ มันคือเรื่องของพ่อที่ทำทุกอย่างเพื่อความสุขของลูก (หลังจากส่วนใหญ่ทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย) ในขณะที่การนำเสนอก็ถือว่าลงล็อคกว่าช่วงต้นๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหนังคุมโทนให้กลมกลืนสำหรับ “บทสรุปไคลแม็กซ์” ตั้งแต่แรกแล้ว ตัวหนังก็น่าจะพีคกว่าที่
เป็นอย่างน้อยฉากเต้นหมู่ตอนไคลแม็กซ์ มันก็ดูน่าเชื่อสำหรับผมนะ ครับว่าพวกเขาจะชนะได้
คือดูก็รู้น่ะว่าพวกเขาต้องชนะได้รางวัลแน่ๆ ตามสูตรสำเร็จของหนังแนวรี้ แต่สิ่งเดียวที่จะตัดสินใจได้ว่ามันจะสมจริงไหมก็คือ พวกพี่โป้งต้องเต้นให้ดี ไม่งั้นมันจะดูขัดตา ประมาณว่าเต้นไม่ดีแล้วทำไมได้ แต่ปรากฏว่าพวกพี่แดนเขาเต้นดีจริง อาจไม่พริ้วสุดๆ แต่ความพร้อมเพรียงหรีอจังหวะมันใช่น่ะครับ อันนี้ขอชมเลย
ช่วงนี้กรุงเทพถนนโล่งค่ะ ชอบบบ ไปไหนมาไหนรถไม่ติด แต่ด้วยความที่มันว่างไม่รู้จะทำอะไรเลยไปดูหนัง
เพราะใช้โปรฯ บัตรเดบิตเรื่องนึงจ่ายไม่แพงเลยดู ดูทรงหนังที่เข้าอาทิตย์นี้สำหรับเราเฉย ๆ นะ แต่ก็ดูหนังมาหมดเกือบทุกเรื่องแล้ว และคุณเพื่อนก็เลยเลือกเรื่อง The One
Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ ด้วยเหตุผลว่านางดูหนังของแดนมาหลายเรื่องเลยถูกจริตว่างั้น แต่สำหรับเราออกตัวเลยว่าเข้าไปดูแบบไม่คาดหวังนะคะ เพราะดูรายชื่อนักแสดงแล้วเฉย ๆ ยิ่งก๊วนพระเอกมันออกแนวคาเฟ่ ๆ ไปหน่อย
หนังตลก – คือสำหรับเราหน้าหนังมันบอกมายังงี้ (ในความเข้าใจของเรานะคะ)
พอเอาเข้าจริงมันก็สนุกนะ มุกไม่ต่ำเท่าไหร่ แต่ก็มี (ย้ำค่ะว่ามี) แต่ที่ชอบคือมีความรู้สึกว่ามัน Real อารมณ์แบบมีแอบ ๆ หลุดขำกันเองแพล่มออกมา ซึ่งมันดูไม่ยัดเยียดดี ก็นะตลกสไตล์แดนเค้าอ่ะค่ะแต่ที่ชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ หนังดราม่า ค่ะ ! ฟังไม่ผิดหนังดราม่า…
ซึ่งต้นเรื่องตัวพ่ออย่างแดนปูเรื่องมาว่าเค้าอยู่กับลูก 2 คน ส่วนแม่เด็กไม่พูดถึง ทำให้เราเข้าใจว่าคงเลิก หรืออะไรสักอย่างและหนังจะพูดแค่ลูกกะพ่อนี่แหล่ะ ใช้ชีวิตอยูด้วยกันในห้องเช่าเล็กๆ โดยที่ลูกสาว (น้องยูเค) ต้องช่วยเหลือตัวเองแทบทุกอย่าง ประหนึ่งว่าอาศัยอยู่กับรูมเมท (อันนี้ตัวละครในเรื่องกล่าวไว้) The one ticket คือตั๋วใบนึงที่ตัวพ่อ
ตามล่าหามาให้ลูกเนื่องด้วยเหตุผลบางประการ(อันนี้ไปชมกันเอาเอง) ต้องใช้วิธีต่างๆ นานา ให้ได้มาซึ่งจะได้ซื้อตั๋วใบนั้น ไม่ว่าจะราคาเท่าไร แต่…ตั๋วที่น้อง ป.ปลาต้องการดันหมดไม่มีขายซะงั้น จึงเป็นที่มาของความฮา อมยิ้ม กับเหล่าบรรดาเพื่อนพระเอกซึ่งออกแนวตลกคาแฟ่อย่างที่บอก (เอาจริงเราว่าบางคนก็ดูเกิน ๆ ไปนะ แบบไม่มีก็ได้
หรือแบบเป็นมุกที่เข้าถึงยากไปนิด) ไหนจะสะใจสะกิดติ่งด้วยคำจิกกัดและปรัญชาการใช้ชีวิตของกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ เพื่อนสนิทแดนในเรื่อง